วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

78 ชง

โดย ฐานทอง อยู่เย็น

ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ คือหลังจากตรุษจีนมา ผมได้ยินคำว่าชงบ่อยมาก เขาบอกว่าปีกระต่ายเป็นปีชง

คนที่มาให้ผมทายดวง ก็มักถามผมว่ามันจะเป็นอะไรไหม? เขาบอกว่าเขาเกิดปีชง ผมบอกว่าผมไม่รู้ ไม่ได้เรียนดวงจีนหรือฮวงจุ้ยมา ไม่รู้ว่าชงนี่หมายถึงอะไร รู้แต่ว่าไม่ดี

ลองเปิดปฏิทินจีนที่เขาแจกมาที่แขวนข้างฝาบ้านดู เขาเขียนว่าวันเถาะไม่ถูกกับวันระกา ทีนี้ปีเถาะจะไม่ถูกกับระกาหรือเปล่า เขาไม่เขียนไว้ ผมก็เลยไม่รู้ แต่ผมอวดรู้บอกเขาว่าปีชง เดือนไม่ชง วันไม่ชง ยามไม่ชง คงไม่เป็นไรมั้ง

เช่นเดียวกับที่ผมวางฤกษ์ บางทีถูกต่อว่าต่อขานว่าเป็นวันอุบาทว์ โลกาวินาสน์ ผมเถียงโกรธมาหลายรายแล้ว ผมบอกว่า ยาม ฤกษ์ ราศี ดิถี ไม่เป็นอุบาทว์โลกาวินาสน์ เป็นแต่วันชั่งมันเถอะ ปีหน้าก็หายอุบาทว์โลกาวินาสน์เองแหละ ขอให้ฤกษ์ดีดวงฤกษ์ดีก็ดีแล้ว

ดังนั้นเรื่องชงนี่ผมไม่ค่อยประสีประสาเท่าไหร่ กระต่ายจะไล่เตะไก่ หรือไก่ไล่จิกกระต่ายก็คงไม่ถึงตาย อย่างมากแค่บาดเจ็บ แต่เรื่องชงนี้แหละครับ เขาเอาไปทำหาหากินกันสนุกสนาน

วันก่อน ผมเครียดมากเพราะต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้านมาหลายวันติดกัน เลยเรียกแท๊กซี่เจ้าประจำไปเที่ยวอยุธยา ใช้เส้นทางเลียบริมน้ำสายใน แวะชมวัดดัง ๆ 2-3วัด คนแน่นมาก แม้จะก้มลงกราบหลวงพ่อยังไม่ได้ ก็เลยต้องยืนนมัสการ พอออกมาข้างนอกได้ยินเสียงเชิญชวนทำบุญแก้ชงกันใหญ่โต คนเข้าไปทำบุญแก้ชงแน่นขนัด ผมเลยถอยกลับมาขึ้นรถไปวัดอื่นต่อ คิดในใจว่า ทุกวันนี้อะไร ๆ มันก็เข้ากันได้ดีไปหมด หมอดูบางคนเอาการไหว้ 3x3 วัดไปทำมาหากิน พระก็เลยเอาชงมาใช้บ้าง ดูน่าเอ็นดูดี

ดังได้เรียนมาว่าผมไม่รู้เรื่องชง เมื่อไม่รู้ท่านว่าไม่ผิด ดังนั้นผมจึงน่าจะพ้นจากโทษานุโทษ

ที่ผมกลัวมากที่สุดอยู่ขณะนี้ คือ กลัวชงแบบไทย ๆ เพราะเคยโดนมาหลายครั้งจนเข็ด ดูท่าทางแล้วการชงครั้งนี้น่าจะเป็นการชงครั้งสุดท้าย นั่นคือ 78 ชง ที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที

78 ชง ที่ผมว่านี่ ผมหมายถึงว่า เสาร์ 7 ชงทีหนึ่ง ราหู 8 ชงอีกทีหนึ่ง คือ 2 ดาวนี่จรเข้าชงลัคนา ยิ่งถ้าคนไหนเกิดวันศุกร์ เวลาราหู 8 เข้ามาชงจะแรงเป็นพิเศษ คนเกิดวันพฤหัสบดี เวลาเสาร์ 7 มาชงแรงเช่นกัน เพราะเป็นกาลีเดิม ยิ่งตอนที่เข้ามาชงเป็นกาลีจรด้วยจะยิ่งดูไม่จืดที่เดียว เพราะกาลีเดิมมาเป็นกาลีจรตามสูตรจะแรงเป็น 2 เท่า หากดวงเดิมไม่แข็งแรงหรือดาวอายุไม่แข็ง รับรองไปวัดแน่

เพราะว่าในระหว่างที่ เสาร์ 7 และราหู 8 เข้ามาชง มันจะชงคนละนาน ๆ ราหู 8 นี่จะชง 1 ปีครึ่ง, เสาร์ 7 ชง 2 ปีครึ่ง ในระหว่างนั้น ดาวอังคาร 3 และอาทิตย์ 1 วิ่งเข้าผสมโรงกันคนละหลาย ๆ รอบ มีหรือจะไม่น่าเป็นห่วง

ในปีนี้ลูกศิษย์ผมโดนชงหลายคน คนแรกลัคนาราศีธนู ถูกราหู 8 ชงป่วยแบบ 3 วันดี 4 วันไข้มา ตั้งแต่เข้าราศีธนูใหม่ๆ ผมแวะไปเยี่ยมที่ทำงานไม่เคยเจอสักครั้ง นอกจากเธอมาหาผม และราหู 8 จะชงต่อไปจนถึงวันที่ 23 พฤษภาคมโน่นจึงจะยุรยาตรเข้าสู่ราศีพิจิก

คนหนึ่งลัคนาราศีมิถุนผัวไปมีใหม่ คนสุดท้ายราศีมิถุนเช่นกันหย่ากับผัวเรียบร้อยแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะราศีธนูเป็นเรือนคู่ของคนราศีมิถุนนั่นเอง นี่เห็นไหมครับว่าชงแบบไหนน่ากลัวกว่ากัน

สำหรับพวกที่ลัคนาสถิตราศีกันย์และมีนถูกเสาร์ 7 ชงมานานก็อ่วมอรทัยไม่แพ้กัน คือ คนราศีกันย์โดนตัวเอง ราศีมีนเล่นเรื่องคู่ พูดกันไม่รู้เรื่อง หรือคู่ป่วยกว่าจะพ้นชง ก็ต้องรอลิ้นห้อยไปจนถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2554

78 ชง หรือเสาร์ 7 และราหู 8 ชง บางคนดวงดีพื้นดวงแข็งแรง แค่ซวนเซสักพักก็ลุกขึ้นได้อีก บางคนพื้นดวงไม่ดีล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เป็นไปตามวาสนของแต่ละคน แต่ที่แน่ ๆ รับรองว่าไม่มีใครที่ไม่เคยโดน 78 ชง

นี่ก็อีกชง ในเวลาที่ไม่นานเกินรอ เสาร์ 7 ก็จะเข้าชงคนราศีตุลย์ และราศีเมษ ถ้าคนไหนอายุจรตามทักษามาตกที่ภูมิพฤหัสบดี หรือตกภูมิกลาง ใช้พฤหัสบดี 5 เป็นบริวารจร จะได้รับผลกรรมที่แรงเป็นพิเศษ นั่นคือคนราศีเมษและตุลย์ต้องระวังตั้งแต่เริ่มเข้าชงคือ 7 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป

พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2555 ราหู 8 ออกจากราศีพิจิกเข้าราศีตุลย์ร่วมวงไพบูลย์ด้วย ถึงตอนนั้น คนราศีเมษกับราศีตุลย์ ถ้ารู้ตัวว่าอายุมากแล้ว คือแก่มากๆ หากมีมรดกอะไรจะให้ลูกหลาน ควรจะรีบจัดการแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้ลูกหลานมาแก่งแย่งกันทีหลัง จะเป็นบาปติดตัวไป ขึ้นสวรรค์ห รือลงนรกมันก็จะตามไปอย่างไม่ลดละ

สำหรับคนที่ไม่มีสมบัติมาตลอดชีวิต ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะลงนรก หรือขึ้นสวรรค์ไปได้เลย

ครับ ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง หวังเพียงว่า อย่าประมาท 78 ชงเป็นอันขาดนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

สิงห์แม่นปืน

ดวงชะตา 136 สถิตราศีกันย์ อังคาร 3 เป็นตนุเศษ 54 ราศีตุลย์ 279 ราศีพิจิก 0 ราศีกุมภ์ 8 ราศีเมษ

ดวงนี้เป็นดวงน่าสนใจอีกดวงหนึ่งที่ผมได้มา โดยสุภาพสตรีคนหนึ่งเอามาปรึกษา หรือเอามาให้ผมดูนั่นเอง จำไม่ได้ว่าดวงนี้ผมได้ค่าดูหรือเปล่า เพราะปกติสุภาพสตรีน่ารักคนนี้มักจะแว้บมาหาผมบ่อยๆ ตอนที่เจ้านายเขาเผลอ นั่นเพราะที่ทำงานของเขากับผมตรงกันข้าม สารมารถทำได้ ชั่งมันเถอะครับ การได้หรือไม่ได้ค่าดู หรือที่เรียกว่าดูการกุศลนี่ผมเจอบ่อย จนบางวันค่าข้าวแกงจานเดียวยังหาไม่ได้เลย

ดวงนี้ในตอนแรกสิ่งที่น่าจับตามองเป็นยิ่งนัก คือ ดวงดาวทีกุมลัคนาในราศีกันย์ ราศีนี้ก็เป็นราศี นระเกณฑ์ตามกฎข้อบังคับในตำนานวิชาโหราศาสตร์โลกธาตุ ว่าคนใดที่มีลัคนาสถิตราศี เมถุน กันย์ ตุลย์ ธนู กุมภ์ มีดาวอะใดกุมลัคนาถือว่าดาวนั้นได้องค์เกณฑ์หมด ไม่มีข้อแม้อื่นใดๆ คือได้เกณฑ์นระนั่นเอง

ถ้ามันสมองของท่านยังไม่พร้อมที่จะพิจารณา ผมขออนุญาตกล่าวนำดังนี้ ก่อนอื่นอย่าลืมเป็นอันขาดว่า หนุ่มน้อยคนนี้เกิดวันเสาร์ เมื่อเกิดวันเสาร์ ราศีกันย์เป็นราศีของดาวพุธ 4 เมื่อพุธ 4 ต้องเป็นกาลีวันเกิด ราศีกันย์ก็ต้องเป็นราศีกาลีไปด้วย ราศีเมถุนก็เข้าทำนองเดียวกัน เพราะเป็นราศีของพุธ 4

อย่าหาว่าผมเป็นคนนอกคอกคิดมากนอกตำราเลย แต่ผมยังไม่เคยเห็นตำราเล่มไหนพูดไว้ว่ามีราศีกาลีอยู่ไม่ 1 ก็ 2 ราศีของทุกคน ผมจะยกตัวอย่างว่า กาลีคือคนเลว ศรีคือ คนดี เมื่อพุธ 4 เป็นกาลี แล้วบ้านเรือนของพุธ 4 จะดีได้อย่างไร มันเกี่ยวโยงกันครับ ลองคิดทบทวนดู แล้วท่านผู้อ่านจะเห็นจริงตามที่ผมว่า

คนๆ หนึ่งเมื่อมี อาทิตย์ 1 อังคาร 3 ศุกร์ 6 กุมลัคนาหรือเป็นนระแก่ลัคน์ อาทิตย์ 1 คือตัวตนของตนเอง อังคาร 3 คือดาวมนตรี และเป็นดาวเก่งความขยันขันแข็งในการงาน กล้าหาญชาญชัย ไม่เกรงกลัวใคร ทั้งยังเป็นดาวเจ้าเรือนมรณะ เป็นดาวเจ้าเรือนเพื่อน ได้ตำแหน่งแห่งความเข้มแข็งคือมหาจักร เป็นตนุเศษด้วย เรียกว่าให้คุณเหลือคณานับ

ศุกร์ 6 อีกดาวที่มีความสำคัญ คือเป็นดาวศรีของวันเกิด คนที่ยังสายตาและความคิดอ่านไม่กว้างพอ ย่อมมองเห็นว่าดาวดวงนี้เสีย เพราะเป็นนิจ เสื่อมการให้คุณหรืออ่อนแอกำลังตกไป ผมขอยกมือประท้วงว่า ก็มันอยู่กับอาทิตย์ 1 อยู่กับอังคาร 3 อาทิตย์ 1 ในฐานะคู่สมพลไม่คิดจะช่วยบ้างเลยหรือ อังคาร 3 คู่มิตรอีกเล่าจะเฉยเมยได้อย่างไร ถ้าเมื่อคู่มิตร คู่สมพลไม่มาช่วยกัน ก็ไม่รู้ว่าเราต้องไปท่องบนเรื่องคู่มิตรคู่สมพลกันอีกทำไม

และนี่คือจุดที่ผมมองต่างมุมกับหลายคน ผมถือว่า อาทิตย์ 1 อังคาร 3 ศุกร์ 6 เด่นมาก มีกำลังเหลือเฟือในการให้คุณ แต่มันก็ต้องมีอะไรเพี้ยนบ้างเป็นธรรมดา เพราะต้องไปสถิตสถาพรอยู่ในเรือนกาลี

ก็เลยทำให้การคิดอ่านไม่ค่อยถูกจังหวะนัก คือพออายุ 14 ดาวพฤหัสบดี 5 จรขึ้นทับลัคนาในราศีกันย์ ก็เลยมีโชคใหญ่ได้ลาภสัตว์ 2 เท้า 4 เท้า คือได้เมียตอนอายุ 14 และก็มีลูกในตอนนั้นด้วย เมียมี 2 เท้า ลูกอีก 2 เท้า ก็เลยรวมกันเป็น 4 เท้าพอดี

แค่อายุ 14 มีเมียมีลูก แสดงว่าฝีมือไม่ธรรมดา ยิงทุกนัดไม่เคยพลาดเป้า และสำหรับคนที่มีดาวศุกร์ 6 ดาวอังคาร 3 กุมลัคนาอาทิตย์ 1 แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องยิงเช้า-กลางวัน-เย็น 3 เวลา ครับท่านอยากได้ดาว 136 อยู่กับลัคนาอย่างนี้ไหมครับ?

ข้อคิด ตำราวิชาโหรศาสตร์มีมานานนับเป็น 1,000 ปี เป็นการบันทึกจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น

เมื่อผ่านมานาน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงไม่ควรกอดตำนานโบราณมากเกินไป ควรหัดสังกตุหลายเรื่องในแต่ละยุคเอาไว้ทดสอบด้วย

ปล. รูปดวงพยายามเขียนตามคำบรรยายในบทความ (ในบทความเดิมไม่มีรูปดวง) 

หมายเหตุ: เพื่อเก็บรักษาและเผยแพร่บทความ ที่อาจารย์ได้เคยเขียนไว้ เนื่องจาก เวลานี้ Website: www.10luckastro.com ของอาจารย์ได้หายไปแล้ว ศิษย์รุ่นหลังๆ จะได้มีตัวอย่างดวงไว้ศึกษาหาความรู้

การตั้งชื่อหรือการเปลี่ยนชื่อ

เหตุผลในการเปลี่ยนชื่อหรือตั้งชื่อในกระบวนการของ 10 ลัคนา มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากหลักวิชาทั่วไป หลายอย่าง ซึ่งต่างก็มีเงื่อนไขหรือเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยหลักของ10ลัคนาจริง ๆ มีดังนี้

1.เมื่อผูกดวงแล้ว ดาวกาลกิณีวันเกิดกุมลัคน์ เช่นเกิดวันศุกร์ ราหู ๘ กุมลัคนา เกิดวันพฤหัสบดีเสาร์ ๗ กุมลัคนา

2.เมื่อผูกดวงแล้ว ลัคนาสถิตอยู่ในราศีที่เป็นกาลกิณีวันเกิด คือเกิดวันศุกร์ ลัคนาสถิตราศีกุมภ์ เกิดวันพฤหัสบดี ลัคนาสถิตราศีมังกร

3.เมื่อผูกดวงแล้ว ดาวกาลกิณีวันเกิดกุมลัคน์ และลัคนาก็สถิตอยู่ในเรือนหรือราศีที่เป็นกาลกิณี คือเป็นไปตามข้อ 1.และ 2.เช่นเกิดวันศุกร์ ราหู ๘ กุมลัคนาอยู่ในราศีกุมภ์ เท่ากับดาวกาลกิณีได้ตำแหน่งเกษตรกุมลัคนา โทษแรงมากขึ้น หรือ คนเกิดวันพฤหัสบดีดาวเสาร์ ๗ กุมลัคนาอยู่ในราศีมังกร เท่ากับดาวกาลกิณีได้ตำแหน่งเกษตรกุมลัคนา จะให้โทษแรงขึ้น แต่ถ้าดาวกาลกิณีเป็นมหาจักร จึงจะดี หากว่าดาวกาลกิณีที่กุมลัคนา เป็นนิจ เป็นประ การจะให้โทษก็เบาลง

4.เมื่อผูกดวงแล้ว ดาวพฤหัสบดี ๕ สถิตอยู่ในเรือนกาลกิณีเดิมสัมพันธ์ดีกับลัคนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นโยกหน้าโยกหลัง ตรีโกณ เล็ง ทำมุมองค์เกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าพฤหัสบดี ๕ นั้นสถิตอยู่ในเรือนที่เป็นอริมรณะและวินาสน์แก่ลัคนา ก็จะลดการให้โทษลง

5. เมื่อดาวอายุ อันหมายถึงสุขภาพ อยู่กับดาวกาลกิณี เรือนหรือราศีกาลกิณี ต้องแก้ด้วยการเอาอักษรวรรคที่เมื่อนับไปแล้วทำให้ดาวกาลกิณี เรือนหรือราศีที่เป็นกาลกิณี เป็นศรี เช่นเกิดวันอาทิตย์ ดาวอายุคือจันทร์ ๒ และจันทร์ไปอยู่ในราศีตุลย์ ที่ราศีตุลย์มีดาวศุกร์ด้วย ดังนี้เรียกว่าดาวอายุถูกดาวกาลกิณีกุมและกุมอยู่ในเรือนกาลกิณี การแก้ต้องใช้อักษรวรรคเสาร์คือ ด.ต.ถ.ท.ธ.น. เพื่อให้ดาวศุกร์ ๖ เป็นศรี

6.เมื่อดาวเจ้าเรือนกะดุมภะหรือดาวเจ้าเรือนลาภะ เป็นกาลกิณี เป็นคนใช้เงินเก่งเก็บไม่เก่ง ถ้าต้องการสร้างฐานะทางการเงินให้อยู่ในระดับดีเร็วขึ้น ก็ควรตั้งชื่อด้วยอักษรวรรคที่เมื่อนับไปแล้ว ทำให้ดาวเจ้าเรือนดังกล่าวเป็นศรี

สรุปแล้วการตั้งชื่อหรือเปลี่ยนชื่อของ10ลัคนา ต้องกระทำโดยการผูกดวงเสมอ ทั้งนี้เพื่อตรวจดูจุดดีจุดเสียของดวง ไม่ได้แก้หรือเปลี่ยนตามกระแสนิยมอย่างไร้เหตุผล บางรายแก้ดาวกาลกิณี บางรายแก้ราศีหรือเรือนที่เป็นกาลกิณี สุดแต่เห็นว่าอะไรสำคัญ และการแก้ต้องแก้สิ่งที่ไม่ดีสุด ๆ ให้ดีสุด ๆ เช่นเดียวกัน คือจากกาลกิณีเป็นศรีประการเดียว

มีมติที่ผู้คนหลงไหลคลั่งไคล้สุด ๆ อยู่อย่างหนึ่งคือเอาตัวอักษรที่ตั้งชื่อมาเทียบค่าเป็นตัวเลข และเอาจำนวนเลขไปเทียบเป็นดาวศุภเคราะห์ บางรายเอาเลขที่ใช้แทนดาวในดวงชะตาที่เป็นเป็นมหาหอุจมหาจักร ราชาโชคและเกษตรมาเป็นชื่อผสมเข้าไปอีก เพื่อจะได้ดีเลิศประเสริฐศรี

แต่ผมไม่นิยมเพราะเห็นว่าเวลาจะสื่อสารใช้เรียกชื่ออย่างเดียว ไม่เห็นมีใครเรียกคุณ 59 69 45 56 65 การเรียกชื่อที่ประกอบด้วยอักษรที่เป็นมงคลย่อมดีที่สุด ในทำนองกลับกัน คนที่เอาอักษรที่ไม่ดีมาเป็นชื่อ เมื่อมีการเรียกขานกันครั้งใดก็เท่ากับเอ่ยคำที่ไม่เป็นมงคล คำที่เป็นมงคลเหมือนพรอันประเสริฐ ในขณะที่คำที่ไม่เป็นมงคลเปล่งเสียงออกมาทีไรเหมือนการถูกสาปแช่งทุกคราวไป

นี่คือสิ่งที่ผมนำเสนอให้ท่านเก็บไปคิด ว่าอะไรควรหรือไม่ควรประการใด

ประเสริฐจริงหรือ "อายัณโฆษ"

จากข้อสังเกตุฯ อายัณโฆษในหน้า 8 กล่าวว่า
 
ประเสริฐจริงหรือ..!!
ในเรือนกะดุมพะของลัคนา เรือนปุตตะของลัคนา เรือนกรรมะ และเรือนลาภะ

ถ้ามีพระเคราะห์ 8 คู่คือ ๑-๘/ ๑-๓/ ๒-๖/ ๒-๔/ ๓-๗/ ๔-๕/ ๕-๖/ ๗-๘/ จะเป็นดวงที่ประเสริฐยิ่งนัก (ความคิดเห็น น่าจะเป็นเพียงบางคู่เท่านั้น โดยเฉพาะถ้าจะนำมาใช้กับดวง 10 ลัคนา เช่นคู่ ๑ กับ ๘ ย่อมไม่ดี ยิ่งถ้าเกิดวันศูกร์ ก็เท่ากับ ๘ กาลีครองอยู่ในเรือนดังกล่าว คือ ใช้เงินเก่ง มีบุตรยาก เปลี่ยนงานบ่อย มีลาภไม่มั่นคง มีแล้วหมดดังนี้ คู่ ๑ กับ ๓ ก็เช่นกัน ทำให้มีอุบัติเหตุง่าย ยิ่งถ้าเกิดวันพุธยิ่งหนักมาก เพราะ ๓ เป็นกาลีวันเกิด คู่ ๓ กับ ๗ ก็เข้าทำนองเดียวกัน จะมีการป่วยและผ่าตัด คู่ ๗ กับ ๘ ก็ไม่ต่างกันมากนัก เพราะต่างก็เป็นดาวบาปเคราะห์ เป็นทุกข์ลาภ เช่นพ่อแม่ตายแล้วได้มรดก ใช้เงินเก่ง มีลูกยาก งานมีอุปสรรค ลาภมาแล้วจากไปในเวลารวดเร็ว

เป็นชะตาของผู้ขาดอุปการะ ..!!
ในหน้าที่ 9 ของข้อสังเกตุฯของท่านอายัณโฆษ กล่าวว่า

พฤหัสบดี ๕ หรือเสาร์ ๗ เป็นมรณะ วินาสน์แก่ลัคน์ เป็นชะตาของผู้ขาดอุปการะ โดยมากไม่บิดาก็มารดา ได้ตายจากไปตั้งแต่ยังอายุน้อย หรืออย่างเพลาก็ไม่ได้อยู่กับบิดามารดาแต่เยาว์วัย ท่านว่ากฏนี้สามารถใช้สอบเวลาตกฟากได้แม่นยำที่สุด

(ความเห็นของผมว่า ๕ มรณะ วินาสน์ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับบิดา แต่เรียนหนังสือเก่ง ส่วนมากจบลโท หรือเอก ถ้า ๗ มรณะวินาสน์ ก็สงบการให้โทษ ไม่เครียดง่าย คือไม่เป็นโรคประสาทนั่นเอง ถ้า ๒ จึงจะเกี่ยวกับมารดา)

มั่งมีจริงหรือ..!!
ในหน้า 9 ท่านกล่าวว่า...

ธรรมดาศรีอยู่มรณะแก่ลัคนา คือ ราศีที่ 8 โดยมากมักจะมั่งมีทุกคน แต่ถ้าลัคน์อยู่ในราศี ที่พระเคราะห์ศรีเป็น 8 โดยพระเคราะห์นั้นเป็นประ หรือนิจกลับแห้งแล้ง

ความเห็น-วรรคแรก คือดาวศรีเดิม เป็นมรณะแก่ลัคนา จะร่ำรวย ต่างกับกฏของ 10 ลัคนา ซึ่งคนมั่งมีต้องมี ดาวเจ้าเรือน (ต่างกับดาวในเรือน) กะดุมพะ ลาภะ ดาวศุกร์ ๖ ดาวเสาร์ ๗ ได้ตำแหน่งดี เป็นศรี มนตรี เดช และเป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชาและเกษตร สัมพันธ์ดีกับลัคนา)

วรรคที่ 2 หมายถึงศรีเดิมเป็นมรณะแก่ลัคนา และเป็นนิจหรือเป็นประ กลับแห้งแล้ง เพราะประหรือนิจไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นศรี แต่ถ้าเปลี่ยนชื่อเจ้าชะตา ให้ศรีซึ่งเป็นประเป็นนิจ เป็นกาลกิณีเสียได้ ชีวิตก็จะพอมีทางแจ่มใสขึ้น

หมายถึงคนใดที่ดาวศรีวันเกิด เป็นประเป็นนิจ และอยู่ในเรือนที่ 8 คือเรือนมรณะ ถ้าจะให้ดีขึ้นให้ใช้อักษรวรรคมูลละมาตั้งชื่อ ศรีเดิมจะกลับเป็นกาลีทันที และกาลีเดิมก็จะเป็นศรี


จัตตุสดัยแสนประเสริฐ..!!

จากหน้า 22 ท่านบอกว่า
จัตตุสดัย เพียงมีพระเคราะห์เข้าทวารทั้ง 4 เท่านั้น (เพิ่มเติม- ราศีทวารคือ เมษ กรกฏ ตุลย์ มังกร)

ถ้าพันเอิญพระเคราะห์ ทั้ง 2 คู่นั้น แต่ละคู่เป็นศรีแก่กัน เช่นในราศีเมษมี่พระอาทิตย์ ๑ ราศีกรกฏมีพฤหัสบดี ๕ หรือในราศีเมษ มีพระราหู ๘ กับในราศีกรกฏมีพระพุธ ๔ ทั้งสองลักษณะนี้ประการหนึ่ง

และในราศีตุลย์มีพระจันทร์ ๒ กับราศีมังกรมีพระเสาร์ ๗ หรือในราศีตุลย์มีพระศุกร์ ๖ กับในราศีมังกรมีพระอังคาร ๓ อีกประการหนึ่ง พระเคราะห์ทั้ง 2 ลักษณะและสัณฐานตำแหน่งดังกล่าวนี้ เป็นเกณฑ์พยากรณ์สำคัญมาก ดวงชะตาใดได้เกณฑ์ดังกล่าวถือว่าประเสริฐยิ่งนัก

ยังไม่เคยพบความจริง..!!

พระเคราะห์คู่ธาตุ ซึ่งอยู่ในเรือนธาตุที่ถูกต้อง แม้แต่ราศีหนึ่งจะมีสักตัวเดียวก็ตาม เช่นพระราหู ๘ ในราศีมิถุน ตุลย์และกุมภ์ ถ้าปีปัจจุบันจรมาเป็นศรี เข้าทับลัคนาหรือเป็นมุมกับบริวารหรือปัตนิและศุภะ จะบังเกิดผลดีอันเป็นที่น่าพึงใจโดยมิต้องสงสัยเลย

ความเห็น-ยังไม่เคยพบว่าคนที่ราหูจรเป็นศรีทับลัคนาแล้วได้ดี ยิ่งคนที่เกิดวันพุธ ราหู ๘ เป็นศรีเดิม จรมาเป็นศรีในปัจจุบัน ยิ่งไม่เคยพบเห็น โดยเฉพาะกับดวง 10 ลัคนา

ตรีโกณ "อายัณโฆษ"

โดย ชลินทร์ ศรีพิจารณ์

ในขณะที่ท่านอาจารย์ "อายัณโฆษ" ถ่ายทอดวิชาโหราศาสตร์ให้อยู่ ท่านได้ให้ข้อคิดเห็นอยู่เสมอว่า ดาวพระเคราะห์ต่างๆ ที่มาทำมุมตรีโกณนั้นสำคัญมาก ขอให้พิจารณาละเอียดถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง ที่จะทำนายทายทักออกไป ยิ่งดาวพระเคราะห์ทำมุมกับลัคนา หรือเกาะกุมลัคนาอยู่แล้ว ก็ยิ่งจะมีความสัมพันธ์ส่งเสริมสนับสนุน และในทางตรงกันข้ามจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายวิบัติหรือทุกขเวทนาขึ้นแก่ชีวิตของเจ้าชะตาได้ ความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมเสียเหล่านี้ บรรดาผู้พยากรณ์ทั้งหลายจำเป็นต้องรู้แจ้งเห็นจริง และจะต้องชี้แจงให้เจ้าของชะตาได้รู้รายละเอียดต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นในดวงชะตาทั้งข้อดีและข้อเสีย พร้อมกันนั้นก็จะเป็นต้องให้เจ้าชะตาปฏิบัติดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบ หลีกเลี่ยงผ่อนคลายเหตุการณ์ให้ทุเลาลงตามแต่จะทำได้

เมื่อพิจารณาดาวพระเคราะห์เข้ามุมตรีโกณแล้ว จะปรากฏเป็นข้อสำคัญได้ ๒ ประการ คือข้อแรกดาวพระเคราะห์ที่ตรีโกณมีลัคนาเกาะกุมอยู่ ข้อที่ ๒ มีลัคนาอยู่โดดเดี่ยว โดยไม่มีดาวพระเคราะห์ทำมุมตรีโกณ โดยลัคนาสถิตอยู่ราศีอื่น

ความสำคัญที่สุด ประการแรกย่อมได้แก่พระเคราะห์ทำมุมตรีโกณโดยมีลัคนาสถิตร่วมอยู่ด้วย การที่มีพระเคราะห์เกาะกุมลัคนาในราศีเดียวกันเช่นนี้ ก่อให้เกิดความหมายแก่ดวงชะตานั้นมากที่สุด เพราะพระเคราะห์มุมหนึ่งจะเป็นปุตะ และอีกมุมหนึ่งจะเป็นศุภะ

อานุภาพของเรือนทั้งสองย่อมเป็นที่รู้ประจักษ์ชัดแก่บรรดาผู้พยากรณ์ทั้หลายทาแล้ว พระเคราะห์ที่สถิตอยู่เสมือนเป็นขาหยั่งสามขาซึ่งใช้รับน้ำหนัก ยกของหนัก ๆ เช่นไม้ซุง เสาคอนกรีต หรือใช้รับน้ำหนักเช่นใช้างคาน เพื่อต่อเติมสร้างเสริม เหล่านี้เป็นต้น ขาหยั่งสามขาดังกล่าจะนำมาใช้เพื่อการนี้ฉันใด ดาวพระเคราะทำมุมตรีโกณแก่กัน จะเป็นความราบรื่นวัฒนาไพบูลย์แก่ชีวิต แต่ถ้าดาวพระเคราาะห์ที่ทำมุมแก่กันนี้เป็นกาลกิณ หรือสถิตอยู่ในพระเคราะห์เจ้าเรือนกาลกิณีมุมใดมุมหนึ่งหรือสองมุมแล้วไชร้ก์เปรียบประดุจสวัสดิภาพแห่งชีวิตคลอนแคลนสั่นสะเทือนไปตามกำลังอำนาจแห่งดาวพระเคราะห์ที่เป็นกาลกิณี หรือพระเคราะห์เจ้าเรือนกาลกิณีฉันนั้น

สวัสดิภาพของบรรดาปุถุชนทั้งหลายย่อมมีมูลเหตุมาจากหลายปรการ พระเคราะห์ที่ทำมุมในเรือนปุตะนั้น จะทำให้เจ้าชะตาประสบความสำเร็จในการงานด้วยความเรียบร้อย สามัคคีกันหรือแตกแยกแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันในระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชา ส่ววนในเรือนที่ ๙ อันเป็นเรือนศุภะนั้น ย่อมแสดงถึงฐานะกำเนิดความเป็นอยู่ สวัสดิภาพแห่งชีวิตเท่าที่สังเกตุมา ถ้าพระเคราะห์ในเรือนที่ ๙ เป็นศรีหรือศรีกุมศุภะแล้ว เจ้าชะตาจะหาสันโดษได้ยาก เป็นผู้ทะเยอทะยานไฝ่ฝันหาเงินทองทรัพย์สินดิ้นรนไป ผลที่สุดก็มักประสบกับความล้มเหลวง และต้องกลับไปสู่ฐานะแห่งชีวิตหลักฐานเดิม แต่ในบางรายก็ตรงกันข้าม ชีวิตจะประสบกับความสำเร็จร่ำรวยมีผู้ปรนนิบัติรับใช้ มีคฤหาสน์ใหญ่โตโอ่โถงอยู่อาศัย ขอใให้สังเกตุดูว่าดาวพระเคราะห์ในเรือนศุภะเป็นศรี หรือศรีกุมศุภะแล้วเจ้าชะตามักจะใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยในระยะแรก แล้วจะลดลงให้พอเหมาะพอสมแก่พื้นชาตาในภายหลัง

ในลักษณะที่พระเคราะห์ทำมุมตรีโกณซึ่งกันและกันนี้ ขอให้สังเกตุให้ลึกซึ้งไปอีกด้วยว่า พระเคราะห์ที่ทำมุมแก่กันเช่นนี้ควรจะได้รับการพิจารณาด้วย เพราะอย่างไรก็ตามจะต้องมีผลแสดงให้ปรากฏในทางพยากรณ์ด้วยโดยไม่ต้องสงสัย

ที่สุดนี้ข้าพเจ้าขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้วิญญาณของท่านอาจารย์ "อายัณโฆษ" ได้ประสบความสุขในสัมปรายภพเทอญ

กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒/คัดจาก ข้อสังเกตุในวิชาโหราศาสตร์ "อายัณโฆษ"

เมื่อไรจะรวย

เรื่องนี้มีคนถามมาก เกือบจะเรียกว่า ทุกคนที่มาดูดวงก็ว่าได้ มันไม่ใช่เป็นเรื่องเล่นๆ นะครับ ผมเองยังอยากรู้เลยว่าตัวเองรวยเมื่อไหร่

เมื่อนานมาแล้ว ผมไปนั่งดูอยู่แถวเชิงสพานพระปิ่นเกล้า มีสุภาพสตรีคนหนึ่งติดต่อมาขอดูดวง สักพักเธอมาถึงพร้อมด้วยรถคันหรูราคาน่าจะสัก 2 ล้านขึ้น ในมือถือมือถือ เธอถามผมคำแรกว่า เมื่อไหร่จะรวย ผมมองหน้านิดหนึ่ง แต่ก็ไม่เสียมรรยาทจนเกินไปแล้วบอกยิ้มๆ ว่า มีเงินมากเมื่อไหร่ก็รวยเมื่อนั้น แล้วเธอก็หัวเราะ

เธอน่าจะคิดได้อย่างที่ผมคิด คนที่มีรถราคาประมาณนั้นขับ และมีมือถือในสมัยนั้นราคาน่าจะตกที่หลายหมื่น ยังถามหาความรวย แล้วผมล่ะ ผมเคยได้บอกไว้แล้วว่า คนจะรวย ต้องดาวในดวงชะตาดี เช่นดาวเจ้าเรือนกะดุมภะ และดาวเจ้าเรือลาภะ ทั้งของลัคนาและตนุเศษ ในกรณีที่ลัคนาและตนุเศษแยกราศีกัน ได้ตำแหน่ง มหาอุจจ์ มหาจักร ราชา เกษตร ศรี เดช มนตรี สัมพันธ์ดีกับลัคนา ดาว ๖ ดี ดาว ๗ ดี ยิงดีมาก แต่การจะรวยเมื่อไหร่จะขึ้นอยู่กับดาวตรีวัย ที่มาจากตนุเศษ วัยใดดาวมีตำแหน่งเป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชา เกษตร ศรีมนตรี เดช และดาว ๕ จรดีกับลัคนาวัยนั้นรวยแน่ ทายไม่เคยผิด ไม่ว่าทายย้อนหลัง หรือทายจรไปข้างหน้า แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นดวงแบบ ๑๐ ลัคนาเท่านั้น

หญิงขายปืน

โดย ฐานทอง อยู่เย็น
หญิง(1) 14 ราศีสิงห์ 6 ราศีกันย์ 08 ราศีตุลย์ 59 ราศีเมษ 3 ราศีพฤษภ 27 ราศีกรกฎ
หญิง(2) 124 ราศีตุลย์ 2เป็นตนุเศษ 36 ราศีพิจิก 7 ราศีธนู 5 ราศีเมษ 80 ราศีกรกฎ 9 ราศีสิงห์

ช่วงหยุดสงกรานต์ ผมได้ดวงของสุภาพสตรีมา 2 ดวง ดังที่ปรากฏอยู่นี้ เธอทั้ง 2 ขายปืนอยู่ที่ร้านขายปืน ถนนอุณากรรณ ถนนนี้อยู่หลังโรงหนังเฉลิมกรุงเก่า เชื่อมถนนเจริญกรุงกับถนนพาหุรัด ดังนั้นหากใครจะซื้อปืนสักกระบอกแล้วไปเดินเล่นดูผ้าผ่อนท่อนสไบ ก็จะทำได้สะดวก

ที่ตรงนี้เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมาเป็นที่เดินเล่นของผม สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 1-2 ครั้ง ตรงที่เป็นศูนย์การค้า สมัยนั้นเป็นตลาดมิ่งเมือง ตรงข้ามกับโรงหนังเฉลิมกรุง คือตลาดโต้รุ่งบำเพ็ญบุญ เป็นตลาดขายของสารพัด ตั้งแต่อาหารจนถึงเสื้อผ้า

2 ดวงนี้หลังจากดูแล้ว ผมเก็บข้อมูลไว้ในเครื่อง แต่เนื่องจากผมเป็นมือเซียนในการใช้โปรแกรม Tenlagna พอเรียกดวงขึ้นมา วันเดือนปีเกิด และเวลาเกิดจางจนอ่านไม่ออก ดังนั้นจึงจนปัญญาจะนำมาแสดงกับท่านผู้อ่านตามเคย แต่รับรองว่าผมผูกดวงไม่ผิดแน่นอนครับ

ทั้ง 2 ดวงเป็นคนเกิดวันอังคาร ดวงหญิง 1 เป็นคนอ่อนวัยกว่าเล็กน้อยเพราะเป็นน้องสะใภ้ หญิง 2 คือพี่สามี ต่อไปผมจะเรียกว่าพี่ผัวกับน้องสะใภ้ เพื่อให้ฟังง่ายขึ้น

ที่สะดุดตามากที่สุด คือตำแหน่งของดาวพฤหัสบดี 5 ซึ่งเป็นดาวศรีวันเกิดของคนทั้งคู่ และได้ตำแหน่งดีทั้งคู่ คนหนึ่งตรีโกณ อีกคนหนึ่งเล็งลัคนา ความรู้และคุณธรรมอยู่ในระนาบเดียวกัน ลัคนาเป็นสหัชชะลาภกันและกัน ถือว่าสมพงษ์กันดี

ดาวอีกคู่ คืออังคาร 3 ของน้องสะใภ้ได้ตำแหน่งราชาโชคครองเรือนกรรมะ ซึ่งหมายถึงเรือนการงาน แต่ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนกรรมะโดยตรง ส่วนดาวเจ้าเรือนกรรมะจริงคือดาวศุกร์ 6 เป็นประ ดวงของพี่สามี หรือพี่ผัวดาวอังคาร 3 ครองเรือนเกษตร มีดาวศุกร์ 6 เป็นคู่มิตร

เมื่อพิจารณารวมกันทั้งหมดดวงของน้องสะใภ้เข้มแข็งดีกว่าเพราะมีดาว 145238 ได้ตำแหน่งมาตรฐานดีถึง 6 ดาวในจำนวนดาวทั้ง 10 ขณะที่พี่ผัวมีเพียง 35 ได้ตำแหน่งดี 2 ดาว

2 คนนี้มีอาชีพเป็นลูกจ้างร้านขายปืน กำลังคบคิดกันจะไปเปิดร้านเป็นของตนเอง คือเบื่อการเป็นลูกจ้างเต็มที ที่เบื่อนายดูจากดาวจรพฤหัสบดี 5 ที่กำลังจรอยู่ในราศีมีน ซึ่งเป็นเรือนอริของพี่ผัว เป็นมรณะของน้องสะใภ้ แต่ผมยับยั้งเอาไว้ ให้พฤหัสบดี 5 จรเข้าราศีเมษก่อนแล้วค่อยคิดการ

การต้องมาทำอาชีพเกี่ยวกับอาวุธปืน เห็นได้ชัดเจนจากดาวอังคาร 3 ซึ่งหมายถึงอาวุธ ของมีคม

ถ้าจะทายดวงในแบบดวงโลกหมุน หรือที่บางคนเรียกว่าดวงไม่มีลัคนา ได้โปรดเถิด อย่าเอาดาวเจ้าเรือนกรรมะมาทายประการเดียว จะทำให้หน้าแตกง่าย ไม่แต่เท่านั้นยังมีโอกาสแตกไปถึงคนสอนหรือครูบาอาจารย์ด้วย เข้าทำนองว่าเมื่ออาจารย์ผู้สอนโง่ ศิษย์ก็จะโง่ตาม

สมควรอย่างยิ่งให้ใช้ดาวที่ดีที่สุด และสัมพันธ์กับลัคนา ถ้าดาวดีหลายดาว ก็ทำได้หลายอาชีพ จับอะไรก็ได้หมด ทำงานอะไรก็ตามถ้ามีดาวเกี่ยวกับกิจการนั้นคอยเสริมจะประสบกับความสำเร็จง่าย

ในทำนองเดียวกันหากไปทำงานที่ดาวในดวงชะตาเป็นนิจเป็นประเป็นกาลี ยามดวงดีก็ไปได้ราบรื่น แต่ยามดวงตกจะแตกกระจายไม่มีชิ้นดี ถ้าอาชีพที่ทำมีดาวเสริมดี ยามดวงตกจะไม่ตกมาก แต่ในยามดวงดีจะพุ่งเป็นพลุสุด ๆ ผมเคยเห็นมามากจนจับเคล็ดได้

ปีที่ผ่านมา คือ 2553 มีคนหนึ่งมาหาผม ให้ผมช่วยฟันธงให้ เขาบอกว่าเขาไปดูกับศิษย์และศิษย์แนะนำให้ ผมผูกดวงแล้วดาวศุกร์ 6 เสีย ก็เลยถามเขาว่าจะให้ผมฟันธงเรื่องอะไร เขาบอกว่าเขาไปมัดจำสถานที่เพื่อจะเปิดร้านอาหารฝรั่งไว้ 1 แสนบาท เกิดความลังเลใจ อยากให้ชัดเจน

ผมนึกในใจว่าจะเปิดร้านอาหาร โดยเฉพาะอาหารฝรั่งต้องมีประสบการสูงพอสมควร จึงถามเขาว่ามีความชำนาญแค่ไหนที่จะทำ เขาบอกว่าเขาทำมาแล้วเกือบ 20 ปี ผมเลยถามต่อว่าคุณทำมา 20 ปีรวยหรือยัง เขาบอกว่ายังไม่รวย ก็จะรวยได้อย่างไรในเมื่องานที่ทุ่มเทมา 20 ปีดาวมันเสีย ขืนลงทุนทำต่อ ไม่ต่างอะไรกับเอาเงินไปทิ้งน้ำ เหนื่อยเปล่า แถมยังเสียโอกาสรวยอย่างน่าเสียดาย ยิ่งในยามที่การเงินภาครวมของประเทศป้อแป้อยู่อย่างนี้ แค่มัดจำที่ไว้แสนเดียว ถ้าทำอย่างที่เขาคิด คงต้องลงทุนตบแต่งร้านอีก 2-3 ล้านเป็นแน่

วันนั้นผมเลยฟันธงให้เป็นที่ประทับใจว่าให้เลิก ทิ้งเงินแสนเดียวดีกว่าไปเป็นหนี้กับสิ่งที่ทุ่มเทมาเกือบ 20 ปียังไม่ได้เรื่อง แนะให้เขาขับรถกินลมรอให้ดาวพฤหัสบดี 5 จรเข้าราศีเมษก่อนแล้วค่อยไปทำเกี่ยวกับบ้านและที่ดินที่ดาวเป็นมหาอุจจ์โยคหน้าลัคน์ เพราะลัคนาเขาสถิตราศีสิงห์ เมื่อฟันธงจบ เขาจากผมไปด้วยความโล่งอก บอกว่าวันหลังจะมาหาผมอีก นี่เห็นไหมครับ? เวลาจนมุมผมยังสามารถรักษาหน้าศิษย์รักเอาไว้ได้

ปล. รูปดวงพยายามเขียนตามคำบรรยายในบทความ (ในบทความเดิมไม่มีรูปดวง)

หมายเหตุ: เพื่อเก็บรักษาและเผยแพร่บทความ ที่อาจารย์ได้เคยเขียนไว้ เนื่องจาก เวลานี้ Website: www.10luckastro.com ของอาจารย์ได้หายไปแล้ว ศิษย์รุ่นหลังๆ จะได้มีตัวอย่างดวงไว้ศึกษาหาความรู้

เดินทางไปต่างประเทศ

การเดินทางไปต่างประเทศ หมายถึงการไปเรียน ไปดูงานโดยทุนของคนอื่น เช่นขององค์กร หรือสถาบัน ไม่หมายถึงการไปต่างประเทศเพื่อเล่นการพนัน หรือการเสี่ยงโชคอย่างอื่น หรือไปเพราะการเมืองบังคับ

อันดับแรกในดวงชะตาต้องมีดาวพฤหัสบดี 5 ในดวงะตา สัมพันธ์ดี ไม่เป็นอริ มรณะ วินาสน์ และได้ตำแหน่งดีเป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชา เกษตรจะดีมาก มีราหู 8 ดีด้วยยิ่งดีมากขึ้น เดินทางตอนไหน ก็ตอนที่พฤหัสบดี 5 จรดี สัมพันธ์ลัคนา มีอาทิตย์ 1 เข้ามาดีด้วย คือ สัมพันธ์ถึงลัคนาและพฤหัสบดี 5 ยิ่งดีมากขึ้น มีโอกาสสูง

คนจะเกิด

เรื่องการเกิดมีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่สำคัญคือต้องมีการช่วยกันทำการบ้าน ระหว่างหญิงกับชาย สามีกับภรรยา จะเป็นชนิดถาวรหรือชั่วคราวก็ได้ ขอให้พร้อมใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย จะฝ่ายหนึ่งพร้อมอีกฝ่ายไม่พร้อมอย่างนี้ถือว่าไม่สมบูรณ์ การเกิดที่สมบูรณ์ตามหลักโหร มีว่าดาวเจ้าเรือนปุตตะ เป็นศรี มนตรี เดช

พฤหัสบดี 5 จรเข้าทับดาวปุตตะ ดาวเจ้าเรือนปุตตะเป็นอะไรก็ได้ ยกเว้นเป็นกาลีจร
พฤหัสบดี 5 จรเข้าเรือนปุตตะ ดาวเจ้าเรือนปุตตะเป็นอะไรก็ได้ ยกเว้นเป็นกาลีจร
ส่วนการเกิดที่ไม่สมบูรณ์ ก็ตรงกันข้ามนั่นเอง ตรงกันข้ามอย่างไร อาจจะมีคนสงสัยก็เลยแจง ไว้ให้ดังนี้
 
ดาวเจ้าเรือนปุตตะเป็นกาลีจร
ดาวพฤหัสบดี 5 เป็นกาลีจร เข้าทับดาวปุตตะ
ดาวพฤหัสบดี 5 เป็นกาลีจรเข้าเรือนปุตตะ

คนจะตาย

ใครจะเป็นจะตายห้ามไม่ได้ครับ ที่พอห้ามไม่ให้ตาย ในปัจุบันนี้คือ หมอ ไม่ใช่หมอดูครับ แพทย์นั่นแหละครับตัวดี คนจะตายไม่ยอมให้ตาย จะกิน จะขี้ จะเยี่ยว จะหายใจ เอาสายยางใส่เข้าไป เจาะโน่นฝังนี่ จนคนไข้ดูเหมือนสัตว์ประหลาด เขาว่าดี เป็นความก้าวหน้าทางเทคนิคการแพทย์ ผมว่าเป็นเทคนิค ที่ทำให้บุตร-หลาน-ผัว-เมีย หมดตัวมากกว่า ยิ่งอยู่นานยิ่งหมดมาก คนรวยเป็นพันเป็นร้อยล้านไม่ว่า แต่ในอีกมุมหนึ่งคือ ถูกหมอรีดเงินนั่นเอง ดูแล้วน่าเวทนา บางราย 80-90 ยังไม่อยากตายเลย

ครับ ผมไม่เถียง เพราะรู้ว่าไม่มีทางชนะ หมอเขาว่า เขามีปรัชญาต่อคนไข้ว่า ต้องรักษาคนป่วยให้หายป่วย รักษาคนจะตายให้ไม่ตาย ครับ ก็จริง แต่พ่อหมอเคยคิดบ้างไหม ว่า เมื่อรักษาคนป่วยให้หายป่วย รักษาคนจะตายไม่ให้ตาย แล้วคนที่ไม่อยากตายต้องตาย เพราะหมดตัว..ล่ะ ทำอย่างไร หรือว่าชั่งแม่ง !

การรักษาคนแก่ที่ป่วย เหมือนกับใช้ปุ๋ยชีวภาพอย่างดีที่ 1 ใส่ตอไม้ผุ ๆ แล้วรดน้ำวันละสามเวลา ทำกันไปทำไม ? ไม่มีประโยชน์อะไร

ครับผมนอกคอกไปขออภัยด้วย ทีนี้มาดูเรื่อง "คนจะตาย" กันดีกว่า

ตามหลักโหรเขาว่า ต้องถึงฆาต คือ ฆาตแยกราศี เช่น ปัศวะชีโว คือ พฤหัสบดี 5 เป็นกาลี อัมพุ ภุมโม อังคาร 3 เป็นกาลี นระโสโร คือเสาร์ 7 เป็นกาลี กีรฏะ อสุรินโท ราหู 8 เป็นกาลี นั่นหมายถึงเป็นกาลีจร ยิ่งทั้งเดิมทั้งจรยิ่งดี

เข้าทับลัคนา (อาทิตย์ 1)
ทับลัคนาใน (เจ้าเรือนลัคนา)
ทับจันทร์ 2 (ในดวงชะตา)
ทับดาวอายุ (ตามทักษา

นอกจากนี้ยังมี เสาร์ 7 ราหู 8 เป็น เป็นกาลีจร หรือกาลีเดิม หรือเป็นกาลีทั้งเดิมและจร
ทับลัคน์
ทับลัคนาใน
ทับจันทร์ 2
ทับดาวอายุ

หรือดาวอายุเป็นกาลีจรในตอนนั้น

การจะตายจริงๆ ไม่ใช่โดยเพียงข้อ 2 ข้อ นะครับ มันต้องโดนหลายข้อจึงจะตาย คือสรุปแล้วการตาย ก็ไม่พ้นหน้าที่ของดาวบาปเคราะห์ คือ 1-3-7-8 เป็นเจ้าการ การตายไม่ได้ง่ายอย่างคิดนะครับ สู้การเกิดไม่ได้ เปิดปุ๊บติดปั๊บก็มี

วันเวลาตาย

ครับ ผมต้องขอออกตัวกันก่อนตามธรรมเนียมว่า เรื่องนี้ผมต้องการเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อในการศึกษาโหราศาสตร์ ถึงวันที่ต้องตาย และเวลาที่ต้องตาย... ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรกับวันแห่งความรัก ที่กำลังขึ้นสมองของคนไทยอยู่ทุกวันนี้

อันว่าวันตายและเวลาตายของคนเราทุกคน จะต้องมี ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะว่าเป็นของคู่กันมา กับวันเกิดและเวลาเกิด เมื่อมีวันเกิด ไฉนไม่มีวันตาย เมื่อมีวันตายก็ต้องมีเวลาตาย ทุกคนที่เกิดมาต้องตาย ไม่มีใครรอดสันดอนไปได้สักคน ช้าหรือเร็วเท่านั้น

บางคนตายเร็ว บางคนตายช้า บางคราวคนอายุมาก ตายก่อนคนอายุน้อย นี่เป็นเรื่องธรรมดา บางคนอายุน้อยตายก่อนคนอายุมาก นี่ก็เป็นธรรมดาอีกเพราะ ความตายจะมาจะไปไม่ต้องเข้าคิวเหมือนกับการซื้อตั๋วรถไฟฟ้ามหานครหรือซื้อตั๋วดูหนัง

พญายมราชท่านกำหนดเอาไว้ให้ทุกคน แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจ มีบ้างเพียงน้อยนิด และเกือบทุกรายท่านก็ได้ให้ความกรุณาส่งจดหมายมาเตือนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ใครจะอ่านหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมเองนาน ๆ อ่านที อ่านแล้วก็ลืม...

ในบางครั้งบางคราว มีคนมาหาผม จะให้ผมพยากรณ์ พอนั่งลงตรงหน้า บอกผมว่าไม่มีเวลาเกิดหน้าตาเฉย แรก ๆ ผมนึกในใจว่า เอ... คนแบบนี้ก็มีเหมือนกันแฮะ ไม่มีเวลาเกิด? ก็ถ้าไม่มีเวลาเกิด ต้องไม่เวลาตายซิ เป็นไปได้ยังไง?

แต่หลัง ๆ นี่ผมชินและเข้าใจความหมาย คนเราต้องมีเวลาเกิดกันทุกคนนะครับ เพียงแต่เราจำไม่ได้หรือไม่ได้จำ รวมทั้งไม่ได้จดไว้ด้วย ก็จะจดจะจำได้ยังไงล่ะครับ เพราะตอนนั้นคับขันเต็มที คนทำคลอดหรือพ่อแม่เท่านั้นที่ควรจะจำได้ กลับเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญคิดว่าเป็นเรื่องเล็กอยู่รอดมาได้ก็บุญมากแล้ว ที่จริงมันไม่ได้เป็นเรื่องเล็ก เพราะเวลาเกิดคือจุดเริ่มต้นของการเขียนแผนที่ชีวิต ถ้าเขียนแผนที่ผิดการทายหรือเดินตามแผนที่ก็ผิดด้วย ผมจึงอยากจะแทรกความเห็นเอาไว้ตรงนี้ว่า

การพยากรณ์ที่คลาดเคลื่อน จุดใหญ่มาจากเวลาเกิดที่ไม่แน่นอน เป็นอันดับแรก รองลงมาก็เป็นวันเกิดที่คาบเกี่ยว ราศีของลัคนาคาบเกี่ยว 2 ราศี มากรายเป็นวันเดือนปีเกิดที่กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านจัดให้ หลายรายมาจากการคัดลอกทะเบียนบ้านผิด ๆ อย่างเดือน มค. กับเดือน พค. เขียนหวัด ๆ คล้ายกันมาก ผมเคยโดนมาแล้ว คือเกิดวันที่ 13 เดี๋ยวนี้นายทะเบียนเปลี่ยนให้เป็นวันที่ 1 ทำให้แก่ไป 13 วัน จนได้

แต่จะอย่างไรก็ตาม เวลาผมต้องทายแลกเงินผมทายตามข้อมูลที่ให้มา ผิดถูกยังไงผมไม่รับรอง อย่ามาโทษหลักวิชาก็แล้วกัน ว่าไปตามกฏเกณฑ์ เว้นที่เห็นหน้าตาผิวพรรณสัดส่วน ผมจึงพอเอาตัวรอดได้ ด้วยการหาจุดลัคนาให้ตรงกับนวางค์ที่ควรจะเป็นแล้วผูกดวงทายย้อนหลัง ตรวจสอบดวงก่อนทายปัจจุบันและอนาคต

ถ้าทายย้อนหลังไม่ตรงสัก 3 ข้อ จะเลิกทายคืนเงินให้ไปดูไพ่หรือลายมือ ดีกว่าดันทุรังดำน้ำแลกกับเศษเงินเพียงเล็กน้อย เว้นวันที่ไม่มีค่ารถกลับบ้านหรือค่าข้าว

ในส่วนของวันเวลาตาย ตามที่ผมตั้งใจเขียน ทางโหรท่านกำหนดไว้หลายกฏเกณฑ์ เป็นต้นว่า เสาร์ ๗ หรือราหู ๘ ดาวใดดาวหนึ่งหรือทั้ง 2 ดาว จรเข้าทับลัคนา เล็งลัคนา ทับลัคนาใน ทับจันทร์ ๒ แล้วมีดาวอาทิตย์ ๑ หรือ อังคาร ๓ เข้ามาเสริม เสริมในที่นี้คือเสริมให้ตายเร็วเข้า ไม่ใช่เสริมไปในทางที่ดี

เพราะดาวเสาร์ ๗ และราหู ๘ เป็นดาวที่สามารถแสดงความร้ายกาจได้ระยะยาว คือ เสาร์ ๗ สองปีครึ่ง ราหู ๘ หนึ่งปีครึ่ง ลองเข้าทับลัคน์หรือเล็งลัคน์ใครแล้วเตรียมตัวเตรียมใจได้ อังคาร ๓ อาทิตย์ ๑ เข้ามาได้เรื่อง จะหนักจะเบาก็อยู่กันที่พื้นดวง

ในกรณีที่เสาร์ ๗ หรือราหู ๘ ทับลัคนามีมุมองได้ 2 มุม บ้างก็ว่าทับแรงกว่าเล็ง แต่บางตำราว่าเล็งแรงกว่าทับ ที่ว่าเล็งแรงกว่าน่าจะเพราะเท่ากับเสาร์ ๗ หรือราหู ๘ เข้าเรือนปัตนินั่นเอง คือ นอกจากเรื่องตัวแล้วยังพาลไปถึงต้องปวดหัวเรื่องคู่ครองครอบครัวด้วย ในขณะที่ทับเป็นเรื่องเฉพาะตัวเอง ไม่ค่อยยุ่งเรื่องครอบครัวผัวเมีย เว้นแต่มันส่งแรงเอื้อมถึงดาวเจ้าเรือนปัตนิ หรือในขณะนั้นดาวเจ้าเรือนปัตนิเป็นกาลีจร

ทีนี้ถ้าไม่มีคู่ครองอยู่ในขณะนั้น ก็จะลงที่ตัวเองเต็มร้อย ไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบา สุขก็สุขคนเดียว

ทุกข์ก็ทุกข์คนเดียว ตายก็ตายคนเดียว ไม่มีใครมาช่วยตาย

ยามที่ดาวเสาร์ ๗ หรือราหู ๘ มาจ่อคอหอยปีใด อังคาร ๓ และอาทิตย์ ๑ ซึ่งเป็นดาวร้ายประจำเดือน ต้องมาถึงลัคนาแน่ มาถึงเดือนไหนต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ เขาว่าคนไม่ป่วยจะป่วย คนป่วยธรรมดา จะป่วยหนัก คนป่วยหนัก ให้จองวัดได้เลย...

ยิ่งถ้าคนนั้นเกิดวันพฤหัส วันศุกร์ วันพุธ ดาวอังคาร ๓ หรืออาทิตย์ ๑ เป็นกาลีจร อย่าประมาทเป็นอันขาด เพราะนั่นเท่ากับท่านได้รับจดหมายด่วน เตือนจากพญายมราชแล้ว

เรื่องนี้พูดไปแล้วก็น่าหดหู่ใจ รู้ทั้งรู้ว่าต้องตาย แต่พอมันมาถึงใครสักคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับเราเช่น บิดามารดา สามีภรรยา บุตรหลาน ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง ก็อดใจหายไม่ได้ ยิ่งในระยะนี้ ผมได้รับข่าวแบบนี้บ่อย ๆ หวังว่าคงแวะหาผมสักวันอย่างแน่นอน

ดังนั้น จึงอยากจะกราบเรียนมายังทุกท่านด้วยความเคารพว่า
คนที่มีลัคนาสถิตราศีธนู ราหู ๘ ทับ
คนราศีเมถุน ราหู ๘ เล็ง
คนราศีกันย์ เสาร์ ๗ ทับ
คนราศีมีนเสาร์ ๗ เล็ง

4 ราศีนี้ ต้องระวังเป็นอันดับ 1 ยิ่งถ้าท่านเกิดวันศุกร์ วันพฤหัสบดี เพราะราหู ๘ และเสาร์ ๗ เป็นกาลีเดิมของท่าน จะแรงกว่าคนที่เกิดวันอื่น

และในยามที่เสาร์ ๗ หรือราหู ๘ เล่นงานท่านอยู่ ดาวอายุเดิมในดวงทักษาเป็นกาลีจร หรือถูกเสาร์ ๗ หรือราหู ๘ จรเข้าทับดาวอายุเดิม ทับลัคนาใน ทับจันทร์ ๒ อะฮ้า.. อะไรจะพร้อมใจกันขนาดนั้น

อย่าตกอกตกใจไปเลยครับ คนจะตายมันไม่ได้ตายกันง่ายๆ อย่างที่ผมว่า ที่เขียนมาเพื่อบอกหลักวิชาไว้เท่านั้น แต่...สมมุติว่าดาวมันเดินพาเรดเข้ามาจริง ยังมีทางออกตั้งมากมาย และผมก็ได้เตรียมไว้ให้ท่านแล้ว...แต่ก็ต้องรออ่านตอนต่อไปนะครับ

ลูกหลานดีหรือไม่ดี

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก โหรโบราณเขาห้ามทาย ถือเป็นมรรยาทสำคัญมาก โหรคนไหนเอามาทำนายทายทักจะถูกประนามทันที บังเอิญที่ผมเป็นโหรสมัยกลางๆ คือไม่เก่ามากไม่ใหม่มาก อยู่ตรงหัวต่อพอดี คือตอนเริ่มเรียนโหร เรายังต้องใช้แผ่นหมุนหาลัคนา และผมก็ต้องตัดสมผุสดาวจากวันสิ้นเดือนมาหาวันเวลาเกิดของเจ้าชะตา ยังไม่มีปัญญาซื้อปฏิทินดาราศาสตร์ ที่มีสมผุสดาวทุกวันมาใช้ หลังจากนั้นมา 35 ปี ผมจึงมีโปรแกรม TenLugna ใช้ ดูดวง หาฤกษ์ สอนผ่าน internet ด้วยเหตุนี้ผมจึงสามารถแหกกฏข้อนี้มาได้ แม้จะไม่พากพูมใจนักก็ชั่งมัน คนที่มีลูกหลานดีหรือไม่ดีดูดาวเจ้าเรือนปุตตะนั่นแหละครับ ถ้าไม่ดูดาวนี้ก็ไม่รู้ไปดูดาวไหน ครูบาอาจารย์อุตส่าห์คิดเอาไว้ให้มาเป็นพันปี

ถ้าดาวเจ้าเรือปุตตะดี เช่นเป็นศรี มนตรี เดช เกษตร มหาอุจจ์ มหาจักร ราชา และสัมพันธ์ดีกับลัคนา ก็เท่ากับลูกหลานดี คือนอกจากมันดีแล้วยังได้พึ่งตอนแก่ด้วย แต่ถ้าดาวเจ้าเรือปุตตะดีอย่างที่ว่า แต่ไปเป็นอริ มรณะ วินาสน์ เท่ากับเขาดีของเขา แต่กับเราเขาไม่ดีอย่างต้องการ ถ้าวินาสน์ตอนแก่เขาก็ส่งเราไปบางแคสถานเดียว

ตอบคำถามเกี่ยวกับ "ญาติ"



ญาติดีหรือไม่ดี

ญาติดีหรือไม่ดี ใช้สูตรเดียวกับเพื่อดีหรือไม่ดีนั่นแหละครับ ให้ดูที่ดาวเจ้าเรือนพันธุเป็นอันดับแรก ถ้าดาวเจ้าเรือนพันธุเป็นศรี มนตรี เดช ได้ตำแหน่งเป็น มหาอุจจ์ มหาจักร ราชาโชค เกษตรกุมลัคนาเล็งลัคนา หรือสัมพันธ์ดีอย่างอื่นเช่นโยกหน้าโยกหลัง ตรีโกณ จัตุเกณฑ์ ดีทั้งนั้น แต่ถ้าบังเอิญไปอยู่ในเรือนอริ มรณะ วินาสน์ ก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน คือต่างคนต่างดีต่างคนต่างรวย ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ช่วยกัน ถ้าช่วยก็ชนิดทวงบุญคุณกันไม่รู้จบ



ญาติไม่ดีหรือญาติเลว

ก็คือดาวเจ้าเรือนพันธุเป็นกาลี หรืออยู่ในเรือนกาลี หรืออยู่กับดาวกาลี หรือเป็นดาวกาลีกุมลัคนา เดือดร้อนเพราะญาติตลอดกาลนิรันดร โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ ถ้าคุณมีดาวเป็นอย่างที่ว่า มีเงินอย่าให้ญาติรู้ก็แล้วกัน ไม่งั้นจะโดนยืมแล้วเบี้ยว พอไม่ให้ยืมก็โดนด่า หาว่าไม่เอาพี่เอาน้อง ผมเคยโดนว่าลับหลังมาครั้งหนึ่ง ทั้งที่ไม่รวยจริง เพราะผมถือว่าตอนผมจนต้องกินข้าวกับส้มโอแทนกับ ไม่เห็นใครยื่นมือมาช่วย !

ตอบคำถามเกี่ยวกับ "เพื่อน"

เพื่อนดีหรือไม่ดี

เพื่อนในที่นี้ผมหมายถึงเพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่เคยเรียนหนังสือมาด้วยกัน หรือที่คบหาสมาคมกันในฐานะเพื่อน วัยไล่เรี่ยกัน ให้นำดาวเจ้าเรือนสหัชชะมาพิจารณาว่าเป็นดาวอะไร ดาวดีหรือไม่ดี เช่น เป็นดาวศุภเคราะห์ หรือดาวบาปเคราะห์ ในดวงทักษาเป็นอะไร เป็นศรี มนตรี เดชดี เป็นบริวาร อายุ มูลละ อุตสาหะดีปานกลาง กาลกิณี เสีย ดาวดังกล่าวมาถ้าสัมพันธ์ดีกับลัคนา คือ ไม่เป็นอริมรณะวินาสน์ ก็เพื่อนดี พึ่งพาอาศัยกันและกันได้ ทำงานร่วมกันได้ ไม่เอาเปรียบกันและกัน

เพื่อนไม่ดี

เพื่อนไม่ดีหรือเพื่อนชั่วๆ ไม่ควรคบหา เพราะจะทำให้เสียเวลาทำมาหากิน หรือพาไปในทางไม่ดี เพื่อนแบบนี้เกิดกับคนที่มีดาวเจ้าเรือสหัชชะเป็นกาลี ยิ่งได้ตำแหน่งเป็นมหาอุจจ์ราชา เกษตรยิ่งมีกำลังมากขึ้น เป็นกำลังในด้านที่ไม่ดี และต้องครองเรือนที่สัมพันธ์ดีกับลัคนา ถ้าดาวไม่ดี แต่เป็นอริมรณะวินาสน์ เป็นนิจเป็นประ ก็ชั่วน้อยหน่อย จากนั้นก็พวกที่ดาวเจ้าเรือนสหัชชะอยู่กับดาวกาลี อยู่ในเรือนที่เป็นกาลี

เพื่อนไม่ดีไม่ชั่ว

คนที่มีเพื่อนไม่ดีไม่ชั่ว กลางๆ คือพวกที่ดาวเจ้าเรือสหัชชะไม่ดีเด่น ไม่เป็นกาลีคือ ไม่เป็นศรีมนตรีเดช ไม่เป็นเกษตร มหาอุจจ์ มหาจักร ราช เกษตร อริมรณะหรือวินาสน์ลัคนา เพื่อนแบบนี้คบหากันได้ แต่ก็ห่างๆ กันไว้แหละดี เพราะคนเราอุตส่าห์คบหากันทั้งที แต่พึ่งอะไรกันไม่ได้ ช่วยเหลืออะไรกันไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างตายดีกว่าจะได้ไม่ต้องเสียค่าพวงหรีด

คนที่ฐานะการเงินเดิมดี

 คนที่ฐานะการเงินเดิมดี หมายถึง เกิดมาจากครอบครัวที่พร้อมทางด้านการเงินอยู่แล้ว คือ คนที่เกิดมาดาวเจ้าเรือนกะดุมภะ และดาวเจ้าเรือนลาภะเป็นศรี มนตรี เดช หรือเป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชาโชค เกษตร หรือเป็นทั้ง 2 อย่าง และสัมพันธ์ดีกับลัคนา เช่น โยกหน้า โยกหลัง ตรีโกณ กุมลัคนา เล็งลัคนา เป็นองค์เกณฑ์ เช่น เป็น นระ อัมพุ กีรฏะ ปัศวะ มีดาวอื่นมาเสริม เช่น คู่มิตร คู่สมพล คู่ธาตุ ยิ่งดีมาก ดาว ๖ ดี ดาว ๗ ดี ยิ่งดีมาก เพราะหมายถึง เงินและทรัพย์สิน แต่ต้องไม่มีดาวอื่น เช่น ๘ หรือ ๐ มาเบียน

ตอบคำถามเกี่ยวกับ "คู่ครอง"


คนที่ได้คู่ดี..!!

ให้ดูดาวเจ้าเรือนปัตนิจากตนุเศษเป็นหลัก จากลัคนาเป็นตัวรอง ถ้าดาวเจ้าเรือนปัตนิของตนุเศษเป็นศรี มนตรี เดช กุมลัคนา โยกหน้า โยกหลัง ตรีโกณ เล็งลัคน์ ได้ตำแหน่งนระ อัมพุ กีรฏะ ปัศวะ ถือว่าคู่ดีเสริมกัน สามารถร่วมกันสร้างอนาคตได้ดี ไม่ขัดแย้งกัน ยิ่งถ้าได้ตำแหน่งดีด้วย เช่น เป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชาโชค เกษตร ถือว่านอกจากดีแล้วฐานะการงานการเงินดี ถ้าเป็นคนจนก็จะสามารถสร้างฐานทางการเงินได้เร็วขึ้นเรียกว่าเป็นคู่สร้างคู่สม และต้องไม่มีดาวกาลกิณีหรือไปอยู่ในเรือนกาลกิณี


คนหาคู่ยาก..!!

คนหาคู่ยากเริ่มต้นที่ดาว ๖ เป็นอริ มรณะ วินาสน์ เป็นนิจ เป็นประ ดาวเจ้าเรือนปัตนิตนุเศษ เป็นอริ มรณะ วินาสน์ เรือนปัตนิของตนุเศษมีดาว ๘ หรือ ๐ สถิตอยู่ ดาว ๒ ไม่ดีกับลัคนา หรือดาวปัตนิของตนุเศษอยู่กับดาว ๘ หรือ ๐ ดาวเจ้าเรือนปัตนิจากลัคนา นำมาประกอบเป็นตัวรอง เรือนปัตนิลัคนาก็เช่นกัน บางรายมีดาว ๘ และ ๐ สถิตอยู่ในเรือนปัตนิลัคนาก็มีส่วนหาคู่ยาก ดาว ๗ อยู่ในเรือนปัตนิทำให้มีคู่ช้า หาคู่ยากเช่นกันแต่ยังเป็นรองที่กล่าวมาในตอนต้น


คนมีคู่แต่ไม่ชอบทำการบ้าน..!!

เรื่องนี้ใจจริงแล้วไม่อยากจะเอามาพูดในที่เปิดเผย แต่คิดดูแล้วมีความจำเป็นมากที่โหรต้องรู้ จะได้ไม่สุ่ม 4 สุ่ม 5 จับคู่ให้ หรือให้ฤกษ์แต่งงาน แล้วพอ "หม้อข้าวไม่ทันดำ" ต้องเลิกราหย่าร้างกัน บางรายมีบุตรด้วยกันยิ่งเสียหายแก่เด็ก ที่มีพ่อแม่แยกทางกัน ถ้าเราตัดปัญหากันแต่ต้นลม คือชี้แจงให้ฟังให้ชัดเจนว่าชายคนไหนหรือหญิงคนไหนไม่ชอบทำการบ้าน? จะได้ทำใจล่วงหน้า หรือหลีกเลี่ยงไม่จับคู่ด้วย

เรื่องนี้สงสัยว่าจะเป็นเรื่องยาวหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งหาว่าผมสัปดนเลย เพราะในความเป็นจริง สัตว์โลกย์ทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้กันเป็นส่วนใหญ่ คือยังลุ่มหลงต่อ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต่างกันที่ใครเต็ม 100 หรือไม่? จึงต้องยอมรับว่าโซ่ตรวนแห่งกามกิเลสกำดัด 5 ข้อนี้ช่างเป็นโซ่ตรวนที่แข็งแรงแน่นหนาจริง ๆ

ดาวที่บอกความนัย ว่าใครมีสิ่งที่ว่ามากหรือน้อย คือ ดาวศุกร์ ๖ ที่ตามตำนานหรือตำไม่นาน กล่าวไว้ว่า "ทายกิเลสกำดัดให้ทายศุกร์ (๖)" แค่เห็นดาวดวงนี้ครองอยู่ในดวงชะตา ให้กำลังเข้มแข็งหรืออ่อนแอต่อเจ้าชะตา โหรเขาก็มองทะลุปรุโปร่ง จะพูดให้ฟังหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อยู่ที่ความเป็นกันเอง

ทีนี้กลับมายังเรื่องที่ตั้งเป็นประเด็น "คนมีคู่แต่ไม่ชอบทำการบ้าน" คนพวกนี้ต่างกับคนไม่มีคู่ หรือหาคู่ยาก หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าดวงกินคู่ หรือดวงคนมีคู่แต่ต้องอยู่ห่างๆ กัน

คนที่ดาว ๖ ในดวงชะตาดีและสัมพันธ์ดีกับลัคนา ส่วนมากจะต้องมีคู่ แต่จะอยู่กันยืดหรือไม่มีปัจจัยอื่นประกอบ เช่น ดาวคู่ดี สัมพันธ์ดีกับลัคนา ไม่มีดาว ๐ หรือ ๘ รบกวนเรือนหรือดาวเจ้าเรือนปัตนิแรงๆ จะราบรื่นดี จะเสริมกันดีในการสร้างครอบครัว สร้างฐานะ แต่ทั้งหญิงและชาย ที่ต่างคนมีดาว ๖ กุมลัคน์ ถ้าหญิง ๖ กุมลัคน์ในราศีกันย์ ชาย ๖-๔-๓ ในราศีพิจิก ดังนี้จะเห็นว่าหญิง แม้มี ๖กุมลัคน์ก็จริงแต่ ๖ เป็นนิจ กามกิเลสอ่อนไป ในขณะที่ฝ่ายชาย เป็นคนเปิดปุ๊บติดปั๊บ เพราะ ๔-๖-๓ กุมลัคนาในราศีธาตุน้ำมีกำลังเข้มแข็งมากเป็นพิเศษ

ดังนี้เมื่อฝ่ายหนึ่งขยันทำการบ้าน อีกฝ่ายแรกๆ ขยันพอไปกันได้ แต่พอ "หม้อข้าวเริ่มจะดำ" ฝ่ายหญิงเกิดอาการจำต้องทนในฐานะเมียที่ดี แต่หลังจากนั้นก็รอจุดระเบิด พอดาวเจ้าเรือนปัตนิของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นกาลีจร หรือ ๗ หรือ ๘ จรเข้าเรือนปัตนิ ทุกอย่างก็ระเบิดออกมา ดังนั้นถ้าจะครองรักให้สมบูรณ์ ต้องขยันทำด้วยกัน หรือขี้เกียจทำด้วยกัน คือ ดาวกามกิเลสกำลังพอๆ กันนั่งเอง


คนมีคู่เหมือนได้แก้วสารพัดนึก..!!


คนมีคู่เหมือนได้แก้วสารพัดนึก ในยุคนี้หาได้ยากยิ่ง เหมือนการงมเข็มในมหาสมุทรนั่นทีเดียว คู่ในทีนี้ผมหมายถึงหญิงชาย หรือหญิงกับหญิง หรือชายกับชาย สมัครใจหรือแต่งงานเป็นพิธี อยู่ครองคู่ด้วยกัน กินด้วนกัน นอนด้วยกัน ทำการบ้านด้วยกัน รับผิดชอบดูแลกันและกัน ช่วยกันในยามทุกข์ยามสุข

ถ้านอกเหนือไปจากนี้ ผมไม่ค่อยยอมรับว่านั่น คือ คู่ครอง โดยเฉพาะพวกที่กินด้วยกัน พอกินอื่มแล้วก็ชวนทำการบ้านกัน เสร็จแล้วต่างคนต่างกลับบ้าน ไม่ค่อยรับผิดชอบดูแลกันและกัน แบบนี้ผมว่าไม่ควรอยู่ในกรอบของดาวเจ้าเรือนปัตนิ

คนที่มีคู่เหมือนได้ทุกสรรพสิ่งไว้ในมือ ต้องเป็นพวกที่มีดาวเจ้าเรือนปัตนิทั้งของตนุเศษและลัคนา เป็น ศรี มนตรี เดช และได้ตำแหน่งมหาอุจจ์ มหาจักร ราชาโชค เกษตร กุมลัคนา โยกหน้าโยกหลัง ตรีโกณฑ์ ยิ่งได้องค์เกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น นระ อัมพุ กีรฏ ปัศวะ ไม่มีดาวกาลีมากุมหรืออยู่ในเรือนกาลี และในเรือนปัตนิไม่มี ๘ หรือ ๐ มารบกวน ยิ่งถ้ามีลัคนา จันทร์ ศุกร์สัมพันธ์ดีต่อกัน ยิ่งดีมากเป็นทวีคูณ ลองตรวจดวงของคุณดูนะครับ?

คู่สร้างคู่สม..!!

นี้ผมหมายถึงว่าอยู่กินกันแล้วราบรื่น ไม่ขัดแย้งกัน สร้างครอบครัวเป็นหลักฐานมั่นคงเร็วกว่าปกติ ช่วยกันทำมาหากิน เก็บหอมรอมริบดี ไม่ล้างผลาญทรัพย์สินที่หาได้มา

คู่แบบนี้ที่เด่นมาก คือต่างคนมีดาวคู่ต่างสัมพันธ์ดีกับลัคนาของตน เช่น ดาวเจ้าเรือนปัตนิชายกุมลัคนา หรือเป็นลาภะชาย และดวงหญิงก็เป็นเช่นเดียวกัน ยิ่งถ้าดาวเจ้าเรือนปัตนิของแต่ละฝ่ายเป็นศรี มนตรี เดช ได้ตำแหน่งดีอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นได้ตำแหน่งมหาอุจจ์ มหาจักร ราชาโชค เกษตร นอกจากนี้มีดาวศุกร์ ๖ ดาวจันทร์ ๒ สัมพันธ์ดีต่อกัน ทั้งยังสัมพันธ์ต่อลัคนาของแต่ละฝ่าย

ไม่มีดาวมฤตยู ๐ หรือราหู ๘ เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรือนปัตนิหรือดาวปัตนิ ดาวพฤหัสบดี ๕ อันเป็นดาวคุณธรรมของทั้งสองฝ่ายดีเสมอกันหรือใกล้เคียงกัน


คู่กัด..!!

เป็นคู่อีกประเภทหนึ่ง ที่อยู่กินกันได้ไม่ยอมเลิกรา แต่ก็กัดกันเป็นประจำ บางคู่กัดเช้ากัดเย็นแต่ผลออกมาลูกดก คู่ลักษณะนี้หาได้ในกลุ่มคนรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ แต่บางคู่ก็ไม่มีลูก ซึ่งมีน้อย เพื่อนผมคู่หนึ่งล่ะที่ผมเห็น คู่นี้กัดกันมาตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน เดี๋ยวนี้อายุก็เข้าขั้น 7up เหมือนผม ผมไม่ได้พบนานแล้ว แต่คิดว่ายังคงอยู่ด้วยกัน ปกติตอนสมัย 30up จะนัดดื่มเมรัยกันเป็นประจำ เขาเจ้าภาพบ้าง ผมเจ้าภาพบ้าง ขัดกันอยู่ตลอดไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เขาให้เหตุผลว่าแก้เหงาปาก อีกคู่หนึ่งยศนายพลตำรวจ ก็เข้าทำนองเดียวกัน คือ แก้เหงาปาก คนที่มีดวงแบบนี้โดยมาก จะมีดาวกาลกิณีที่เป็นดาวเจ้าเรือนปัตนิกุมลัคน์ ยิ่งถ้าลัคนา ๑ และ ๒ เป็นอริแก่กันยิ่งดี บางราย ๕ ข้างใดข้างหนึ่งเสีย คือเป็นนิจเป็นประ หรือครองเรือนอริ มรณะ วินาสน์ คือ ขาดความคิดอ่านที่ดี

มีคู่แต่พึ่งไม่ได้..!!


ผมหมายถึงการพึ่งพาอาศัยเรื่อง การเงิน การกินอยู่ ค่าใช้จ่ายในครอบครัว ดวงแบบนี้ คือพวกที่ดาวคู่อ่อนกำลัง เป็นนิจ เป็นประ หรือดาวไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นอริ มรณะ วินาสน์ อาจจะมีบางท่านแย้งว่า ถ้าแบบนี้น่าจะหาคู่ยาก หรือแต่งงานช้า อย่าลืมว่าบางคนดาว ๖ กุมลัคนาอาทิตย์ ๑ และมี ๓ เข้ามาเสริม เขาก็หากันจนได้ คือ เอาไว้ทำการบ้านอย่างเงินทองของใครของมัน กระเป๋าใครกระเป๋ามัน บางรายแถมให้เงินอีกฝ่ายด้วย ขอให้ทำการบ้านอย่างเดียวก็มี


คนมีคู่..!!

ผมหมายถึงคนที่เกิดมาแล้วต้องมีคู่ ไม่ว่าหญิงหรือชาย คือคนที่ต้องมีดาว ๖ กุมลัคนาอาทิตย์ ๑ ยิ่งมี ๔ ด้วยยิ่งดี ยิ่งมี ๒ - ๓ ยิ่งสุดยอดของชีวิต และในบรรดาดาวที่ผมว่าเป็นดาวเจ้าเรือนปัตนิด้วย นั่นคือสุดยอดของคนที่เกิดมาเพื่อการนี้ ถ้าได้ครบทั้งหมดที่ว่ามารับรอง คู่หาเช้าได้เย็นตั้งแต่ยังไม่ยี่สิบ


คนไม่มีคู่..!!

คนไม่มีคู่ คือ คนที่มีดวงดาว โดยเฉพาะดาว ๖ เสีย เป็นนิจเป็นประ วินาสน์ลัคนา ตนุเศษ ในเรือนปัตนิมี ๐ หรือ ๘ และดาวเจ้าเรือนปัตนิไปเป็นอริ มรณะ วินาสน์ลัคนาหรือตนุเศษ หรือดาว ๐ และ ๘ อยู่กับดาวดาวเจ้าเรือนปัตนิ ในเรือนปัตนิ


พบคู่เมื่อไหร่..!!

เรื่องนี้สำคัญมาก คนถามกันมาก และก็ตอบง่านนิดเดียว คือ ถ้าในดวงบ่งบอกว่าเป็นดวงของคนมีคู่ จะพบก็ต่อเมื่อ ดาวเจ้าเรือนปัตนิเป็น ศรี มนตรี เดช จรสัมพันธ์ดีกับลัคนา ดาว ๕ จรเข้าเรือนปัตนิลัคนา หรือปัตนิตนุเศษ หรือทับดาวปัตนิเรือนใดเรือนหนึ่งของลัคนาและตนุเศษ ดาว ๕ จรทับ ๒ ในดวง


เลิกกับคู่เมื่อไหร่..!!


การเลิกราหย่าร้างต้องตอนที่ ดาวเจ้าเรือนปัตนิจรเป็นกาลี หรือดาว ๗ หรือ ๘ จรเข้าทับดาวปัตนิ เข้าเรือนปัตนิ ของลัคนาหรือของตนุเศษ ยิ่งทั้ง 2 กรณียิ่งแน่นอน เคยมีหญิงท้าสามีหย่าเขาไม่ยอมหย่า ลองแนะนำให้ท้าหย่าตอนดาวเจ้าเรือนปัตนิของสามีเป็นกาลีจร ได้ผล คือหย่าได้สำเร็จ ใครจะเอาสูตรนี้ไปลองใช้ได้ ไม่สงวนสิทธิ์ ก็จะทนนอนกอดอยู่กับคนที่เกลียดขี้หน้าหาพระแสงอันใด

หมายเหตุ: เพื่อเก็บรักษาและเผยแพร่บทความ ที่อาจารย์ได้เคยเขียนไว้ เนื่องจาก เวลานี้ Website: www.10luckastro.com ของอาจารย์ได้หายไปแล้ว ศิษย์รุ่นหลังๆ จะได้มีตัวอย่างดวงไว้ศึกษาหาความรู้

ตอบคำถามเกี่ยวกับ "งาน"



ทำงานอะไรดี ..!!!


เรื่องนี้... ถามกันมากเกือบจะเท่ากับเรื่องหาคู่ คนที่ถามมีทั้งคนที่มาดูหมอ และคนที่เริ่มศึกษาใหม่ๆ ขออภัยเถิด บางคนที่เข้าใจว่าตัวเองว่าเป็นเซียนโหร ก็ยังไม่วายสงสัย ส่วนมากร้อยทั้งร้อยจะยกเอาดาวเจ้าเรือนกรรมะ ที่หมายถึงการงาน มาบรรยายให้คนฟัง อย่าลืมนะครับว่าดาวเจ้าเรือนดังกล่าวมันมีดาวเดียว ถ้าบังเอิญมันเป็นดาวกาลีตามทักษา และบังเอิญไปอยู่ในตำแหน่งที่เป็น อริ มรณ วินาสน์แก่ลัคนา และหรือบังเอิญมันไปนอนสงบนิ่งอยู่ในเรือนที่เป็นกาลี หรือประกบอยู่กับดาวกาลี หรือ..(หลายหรือหน่อยนะครับ) ดาวเจ้าเรือนกรรมะเป็นนิจเป็นประ อีแบบนี้การงานมันจะดีได้ยังไง จริงไหมครับ
การทำงานอะไรดี คือทำแล้วต้องดี ให้เอาดาวที่ "ดีกับลัคนา" เป็นอันดับแรก ใครยังไม่รู้ว่าคำว่า "ดีกับลัคนา" หมายถึงอย่าง คือ ไม่เป็นอริมรณะวินาสน์นั่นแหละ ยิ่งเป็น ศรี มนตรี เดชยิ่งดี ยิ่งศรี มนตรี เดชที่ว่าได้ตำแหน่งมหาอุจจ์ มหาจักร ราชาโชค เกษตร ยิ่งแซ้บ

นอกจากที่ว่านี้แล้ว ท่านใดไปทำงานที่ดาวเป็นนิจเป็นประเป็นกาลีก็เชิญตามอัธยาศัยเถิด จะไม่ผิดอะไรกับเอาชีวิตทั้งชีวิต ไปซุกซ่อนในถ้ำมืด โอกาสจะเห็นแสงเดือนแสงตะวันก็ตอนใกล้ตายโน่นแหละ

เมื่อไม่นานมานี้มีชายคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจทำร้านอาหารฝรั่ง ทำมาแล้ว 22 ปี มาหาผม ศิษย์ผมคนหนึ่งแนะนำ เพราะเธอไม่กล้าฟันธง ให้ผมช่วยจัดการ

เมื่อพบกันผมวางดวง10ลัคนาเสร็จ ก็คุยกัน เขาพยายามจะให้ผมพยากรณ์ให้ ผมไม่ยอม เพราะเห็นว่ามันเป็นความเลวของอาจารย์ทันที ถ้าคำทายแตกต่างไปจากที่ศิษย์ทายไว้ ยิ่งทายถูกยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าผู้เป็นครูบาอาจารย์ทำอย่างนี้ศิษย์ก็ไม่มีวันเกิดกัน

ผมก็เลยถามถึงปัญหาที่ต้องการให้ฟันธง เขาบอกว่าขณะนี้เขาไปมัดจำที่เพื่อทำร้านอาหารแห่งใหม่ 100,000 บาท จะทำต่อดีหรือไม่ ผมถามว่าทำร้านอาหารมาแล้วกี่ปี เขาบอกว่า 22 ปี ผมเลยถามต่อว่าแล้วคุณรวยหรือยัง เขาว่ายังไม่รวย ผมเลยว่าถ้างั้นเลิก ยอมทิ้งเงินแสนดีกว่าเอาเงินล้านไปทิ้ง

ที่ผมฟันธงแบบนี้เพราะเห็นว่าดาวที่เกี่ยวกับอาหารการกินเป็นประนั่นเอง แล้วเขาก็ทิ้งจริงๆ หลังจากนั้นหน้าตาก็แจ่มใสขึ้นเป็นกอง เพราะไม่ต้องไปเป็นหนี้ธนาคาร! อย่างผม ก็เหมือนกัน ทำงานกับคนไทย คนจีน ฝรั่งแม่งมายี่สิบปี อดๆ อยากๆ พอมาเป็นโหรกลับดี รวยอ้าวรวยอาว..!!!


ออกจากงานเมื่อไหร่..!!!


การออกจากงาน มีอยู่หลายสาเหตุ เป็นต้นว่า ออจากงานเพื่อไปอยู่กับสามี หรือครอบครัว ออกเพราะกิจการเจ๊ง หรือการขายกิจการทิ้ง เปลี่ยนเจ้านายใหม่ มีคนมาซื้อตัวในราคาดี แต่ในที่นี่ผมจะเอามาพูดกันในเรื่อง 1.ถูกให้ออก 2.ลาออก

การถูกให้ออกจากงาน พฤหัสบดี 5 จรเป็นกาลีทับหรือเล็งลัคน์ พฤหัสบดี 5 ไม่เป็นกาลีแต่จรเข้าเรือนอริ มรณ วินาสน์ เสาร์ 7 หรือ ราหู 8 จรทับหรือเล็งลัคนา ส่วนการลาออกเอง ด้วยเหตุที่ว่ามาแล้วก็มี เพราะถูกบีบ หรือไม่ขึ้นเงินเดือน แต่อีกส่วนหนึ่งคือ ดาวเจ้าเรือนกรรมะเป็นกาลีจร อุตสาหะเป็นกาลีจร เบื่องานอยากออกเต็มที ที่ออกแบบผมออกมีน้อย คือ ออกตอนดวงดี คือ พฤหัสบดี 5 จรทับลัคนา เพราะเป็นการออกที่ได้เงินชดเชยจากบริษัท ไปทำกิจการส่วนตัว ซึ่งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันด้วยดี


ได้งานทำเมื่อไหร่..!!!

ได้งานทำเมื่อไหร่ อันนี้ผมหมายถึงงานรับจ้าง ไม่ใช่งานส่วนตัว งานส่วนตัว คุณจะทำเมื่อไหร่เป็นเรื่องของคุณ เป็นต้นว่าคุณอยากจะเปิดร้านขายกล้วยแขก หรือแคะขนมครกขาย พรุ่งนี้ก็ได้ ถ้าคุณมีเงินพร้อม แต่จะรุ่งเรืองหรือเจ๊งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง การจะได้งานทำในทางโหราศาสตร์ดาวพฤหัสบดี 5 ต้องจรดีกับลัคนา ที่ว่าจรดี คือ ไม่เป็นอริ มรณะ วินาสน์ และไม่เป็นกาลีจร ทับลัคน์เล็งลัคน์ดีที่สุด นอกนั้นรองลงไป และต้องได้ ในเดือนที่อาทิตย์ 1จรดีกับลัคนาด้วย เพราะอาทิตย์ 1 หมายถึงการได้ตำแหน่งหน้าที่การงาน ยิ่งถ้าวันเวลาไปสมัคร หรือสัมภาษณ์ เลือกวันดี ฤกษ์ดี จันทร์จรประจำวันดี จะดีมาก


งานไม่ดี..!!!

ความจริงเรื่องงานไม่ดีนี่ผมไม่น่าต้องบอกกล่าว แต่อาจจะมีบางคนที่สติปัญญาเพิ่งแรกแย้ม สงสัย ผมก็ขอตอบว่างานที่ไม่ดี ที่ทำแล้วไม่รุ่งเรืองก้าวหน้า ไม่พบกับความสำเร็จ คือ งานที่อยู่ตรงข้ามกับที่ว่าดีนั่นเอง คือ ไปทำงานที่เกี่ยวกับดาวที่เป็นนิจเป็นประ เป็นกาลี หรือเป็นอย่างอื่นกลางๆ เช่น เป็นดาวบริวาร อายุ มูลละ อุตสาหะ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง


การงานดีหรือไม่ดี..!!!

เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนเราถ้าไม่ทำงาน หรือไม่มีงานทำแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย เมื่อไม่มีเงินทุกอย่างมันก็พังหมด ความรัก ญาติ มิตร ต่างคนเบือนหน้าหนี ดังนั้นการมีงานทำ แม้ไม่ถูกใจนัก หรือมองหนทางก้าวหน้าคับแคบไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีทำ ทำงานไม่พอกิน ดีกว่าไม่มีกินแล้วไม่ทำงาน

ทีนี้ปัญหาว่างานดีหรือไม่ดี ตามตำราเขาว่างานที่ดีและจะพบกับความสำเร็จอย่างสูง คือ งานที่มีกำลังดาวแต่ละดาวดี เช่น เป็นศรี มหาอาจุจจ์ มหาจักร ราชาโชค เข้ามารองรับ

อย่างเช่น ดาว ๔ ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับการสื่อสาร การติดต่อ การขาย ดาว ๕ งานครู ดาว ๒ งานบริการขนส่ง การท่องเที่ยว โรงแรม ดาว ๖ งานธนาคารหรือการเงิน งานศิปลกรรม ดาว ๗ งานด้านที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น บ้านที่ดิน งานการก่อสร้าง สร้างถนน ทำหมู่บ้าน ทำโรงงาน ดาว ๓ การกีฬา การทหาร ดาว ๑ รับราชการ ที่ว่ามาเพียงโดยย่อเท่านั้น

ดวงใครถ้าดาวในดวงชะตาดีหลายดาวก็ทำงานได้หลายอย่าง อย่าคิดเอาแต่ดาวเจ้าเรือนกรรมะอย่างเดียว ไม่พอกินหรอกครับ เพราะมีทางเลือกน้อย เคยมีหลายคนมาให้ผมทายอาชีพอะไรเหมาะกับเขา ผมทายไปตามดาวที่เห็นว่าดีตามลำดับ เขาเยาะว่าผมทายผิด เขาไม่ได้ทำงานอย่างที่ผมทาย อย่างอื่นผมทายถูกหมด แต่เรื่องงานนี่ไม่ถูก

ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ทายผิดเป็นนี่เรื่องธรรมดาของผม เพราะงานมันมีเป็นหมื่นเป็นแสนอย่าง ตั้งแต่ขอทานไปจนถึงรัฐมนตรี ผมเลยบอกว่าถ้างั้นคุณทำไปเถอะ แก่ตายก็ไม่พบกับความสำเร็จ !!! พอเจอเข้าแบบนี้นั่งหน้าจ๋อย

หมายเหตุ: เพื่อเก็บรักษาและเผยแพร่บทความ ที่อาจารย์ได้เคยเขียนไว้ เนื่องจาก เวลานี้ Website: www.10luckastro.com ของอาจารย์ได้หายไปแล้ว ศิษย์รุ่นหลังๆ จะได้มีตัวอย่างดวงไว้ศึกษาหาความรู้

ตำแหน่งพระเคราะห์ จาก..ข้อสังเกตุ ของ “อายัณโฆษ”

จากหนังสือข้อสังเกตุ ของ “อายัณโฆษ”
ณ. เณร…..รวบรวม


พระเคราะห์ใดๆ ก็ตามที่เป็นศรีแก่เจ้าเรือนเกษตร โดยพระเคราะห์ที่อาศัยนั้นทรงคุณสมบัติเช่น พระอาทิตย์ (๑) อุจจาวิลาศ สถิตอยู่ในราศีมีนเป็นต้น พระเคราะห์ที่สถิตจะแสดงคุณสมบัติตามทักษาของเจ้าชาตาอย่างสูงสุด

พระราหู (๘) กับพระเสาร์ (๗) ครองอยู่ในกรรมะที่เรือนเกษตรพระอังคาร (๓) ชอบเล่นแร่แปรธาตุ และถ้ากรรมะนั้นอาศัยเรือนปัตะนิ โดยประสมกับคู่ธาตุเช่นพระอาทิตย์ (๑) ในราศีพฤษภ หรือราศีตุลย์ มักจะถือเอาอาชีพเป็นเมีย ไม่ชอบเอาคนเป็นเมีย คือหายใจเป็นงานเป็นเงินไปหมด (ตรงนี้ค่อนข้างสับสน น่าจะหมายถึง ๘-๗ อยู่ในเรือน ๓ ซึ่งเป็นเรือนกรรมะ ชอบเล่นแร่แปรธาตุ และถ้า ๗ มี ๑ ซึ่งเป็นคู่ธาตุอยู่ในราศีพฤษภ ราศีตุลย์ (เรือนของ ๖) จึงเป็คนบ้างานรักงานยิ่งกว่ารักเมีย

ดาวอายุเป็นวินาสแก่ลัคนา และอายุนั้นอยู่ในเรือนกาลกิณี เป็นชะตาของผู้มีอายุยืน แต่ขี้โรคอย่างงอมแงม

พระศุกร์ (๖) ในราศีมังกร มีนิสัยใจคอแปลกและวิตถาร

พระเสาร์ (๗) กุมพระจันทร์ (๒) ก็ดี พระเสาร์ (๗) กับพระอังคาร (๓) กุมกันก็ดี ถ้าอยู่ในราศีธาตุไฟสายตาไม่สู้ดี โดยเฉพาะพระเสาร์ (๗) กุมพระจันทร์ (๒) อยู่ในราศีไหนก็ตาม เป็นโรคนัยน์ตาเสมอ

พระอาทิตย์ (๑) พระพุธ (๔) พระศุกร์ (๖) กุมกันอยู่ในราศีใดก็ตาม เว้นแต่เรือนกาลกิณีเป็นคนมีเสน่ห์ แม้พระเคราะห์ทั้งสามตัวนี้ ตัวใดตัวหนึ่งจะเป็นกาลกิณีก็ตาม

ผู้มีปัตานิเป็นศรี แต่ร่วมกาลกิณี คือเป็นสาม ห้า เจ็ด เก้า เป็นชาตาที่มีเมียเสมอด้วยแม่ ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจหญิงตลอดชาติ

พระเคราะห์อุดทวารทั้งสี่ มีสภาพเหมือนตุ๊กตาล้มลุก ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวเลวสลับกัน

กาลกิณีเข้าครองเรือนปัตานิลัคนา เจ้าชะตาจะต้องร้อนใจในเรื่องคู่ครองเสมอ เพราะฝ่ายตรงกันข้ามจะประพฤตินอกใจทุกคน

พระเคราะห์หักลูกบาศก์ คือพระอาทิตย์ (๑) พระจันทร์ (๒) พระอังคาร (๓) กุมกันในราศีใดก็ตาม ดวงชะตานั้นย่อมจะหักในท่ามกลางอายุอย่างแม่นมั่น และจะหักเพราะเหตุอะไร ให้พิจารณาทั้งสามองค์นั้น รวมกลุ่มกันอยู่ในเรือนเกษตรอะไร และเกษตรในเรือนั้นมีรูปเป็นทักษาอะไรแก่เจ้าชะตา

ดวงชะตาตรีโกณด้วยมุหนึ่งมีพระเคราะห์เป็นศรี โดยมีลัคนาอาศัยอยู่ในเรือนเกษตรศรี เป็นผู้นั่งอยู่ในหัวใจคน เป็นผู้มีมหาเสน่ห์นิยมยิ่งนัก (ความคิดเห็น: ดาวเกษตรเป็นศรีกุมลัคน์? ถ้าเป็นดวง 10 ลัคน์เท่ากับทั้งลัคนาและตนุเศษอยู่ในเรือนศรี ทั้งเจ้าเรือนก็เป็นเกษตร ลัคนาในก็เป็นศรีเกษตร)

กาลกิณีมหาจักรอยู่ในเรือนมรณะแก่ลัคนา เป็นมหานิยมสูงสุด ขึ้นชื่อว่ากาลกิณีมหาจักรแล้ว ใมห้คุณพิศดารเสมอ แล้วแต่จะไปสถิตอยู่ในราศีอะไร หรือไปเป็นอะไรแก่ตนุ ฯลฯ

พระเคราะห์สี่โหงวลักอย่างลูกบาศก์ คือพระพุธ (๔) พระพฤหัสบดี (๕) พระศุกร์ (๖) โดยมีลัคนาหรือพระจันทร์ (๒) เป็น สอง หก สิบเอ็ด แก่พระเคราะห์ทั้งสามซึ่งกุมกันอยู่นั้น เจ้าชะตาเป็นคนมั่งมีมาก

ตนุเศษกับกรรมะเป็นวินาสแก่ลัคนา และอยู่ในเรือนกาลกิณีด้วย ทางแห่งชีวิตมักสะบั้น อนึ่งแม้ตนุเกษตรเป็นวินาสแก่ตนุเศษหรือลัคนาเท่านั้น ทางของชีวิตก็เป็นคุดทะราดเหยียบกรวด

ชะตาหญิงมีศรีและปัตานิอยู่ในเรือนกาลกิณี บวชชีเสียเถิดจะได้ไม่ชอกช้ำระกำใจ (มีต่อ)

พระอังคาร (๓) กับพระเสาร์ (๗) กุมกันในราศีเมษ พฤษภ มิถุน กรกฎ ดีมาก ถึงแม้บางชาตาจะมีโรคประจำตัวก็ตาม แต่ก็มั่งคั่งทั้งนั้น

พระอังคาร (๓) กับพระราหู (๘) กุมลัคนาก็ดีหรือเป็น สาม หก สิบ หรือ สิบสองแก่ลัคน์ก็ดี โดยมากฐานะสูงกว่าตระกูล

พระพุธ (๔) ในราศีมิถุน โดยมีประเสาร์ (๗) ในราศีมังกรด้วยมักมีร่างกายพิการค่อมเตี้ย

พระอังคาร (๓) ในราศีมิถุน โดยมีพระพุธ (๔) ในราศีมังกร โง่เง่าที่สุด

พระจันทร์ (๒) พระพุธ (๔) พระพฤหัสบดี (๕) และพระศุกร์ (๖) กุมกัน เป็นสี่ เจ็ดหรือสิบแก่ลัคนาดีมาก เงินทองบริบูรณ์ พระเคราะห์ทั้งหมดนี้คือกฏของสี่โหงวลักนั่นเอง

พระพุธ (๔) พระพฤหัสบดี (๕) พระศุกร์ (๖) กุมกัน เป็นหก เป็นเจ็ด เป็นแปด แก่พระจันทร์ (๒) เป็นชาตาที่มีเกียรติสูงยิ่ง ถ้าเป็นสอง สี่ และสิบสองแก่พระอาทิตย์ (๑) จะมีความสุขสวัสดิภาพทุกประการ

ลัคนาในราศีมังกร มีพระอาทิตย์ (๑) หรือพระพุธ (๔) หรือพระจันทร์ (๒) ตัวใดตัวหนึ่งกุมอยู่ด้วยประเสริฐนักชาตาไม่ใคร่ตก

ชาตาผู้ใดมีมฤตยู (๐) ในราศีพิจิก ให้พึงระวัง ยิ่งกุมลัคน์ด้วย ควรระวังให้หนักยิ่งขึ้น เพราะทางชีวิตใกล้แดนต่างๆ ในบางขวาง

ลัคนาสถิตเรือนกาลกิณี หรืตนุเศษเป็นกาลกิณีก็ดี แม้พระเคราะห์ตัวอื่นจะส่งให้สูงสักเพียงไรก็ตาม แต่ในที่สุดแห่งบั้นปลายของชีวิต ก็คือพินาศมลาย

กาลกิณีกุมศรีจะอยู่ในที่ใดๆ ก็ตามโดยมีพระเคราะห์อาทิตย์ (๑) ครองอยู่ในราศีธาตุไฟ หรือพระราหู (๘ กับพระอาทิตย์ (๑) กุมกันในราศีธาตุไฟ บ้านเรือนจะประลัยด้วยไฟอยางไม่ผิดเพี้ยนเลย

ผู้มีพระเคราะห์มูลละเป็นแปด หรือสิบสอง และมีพระอาทิตย์ (๑)และพระราหู (๘) อยู่ในราศีธาตุไฟ และเจ้าชะตาจะเป็นผู้ได้รับมรดกตามพินัยกรรมแล้ว ชะตาเช่นนี้จะไม่มีหวังได้รับมรดกเลย เพราะทรัพย์สินตามพินัยกรรมนั้น จะต้องสูญสิ้นไปในการถูกพระเพลิงเผาผลาญเสียก่อน

ศุภะแม้จะเป็นศรีหรือมีศณีกุม หรือศุภะสถิตในเรือนศรี ซึ่งน่าจะมีความสุขและมั่งคั่ง แต่ถ้ามีกาลกิณีเข้าร่วมหรือเข้าเล็งหรือกุมลัคนาก็ตาม ชีวิตจะต้องประสบกับความวิบัติเสียก่อน แล้วต่อไปภายหลังจะวิวัฒน์

บาปพระเคราะห์ที่เป็นกาลกิณีร่วมกับบาปเคราะห์อีกตัวหนึ่ง เข้าบีบลัคนาทั้งหน้าและหลัง เป็นดวงชะตาที่อยู่ใกล้โซ่ตรวนที่สุด

กัมมะที่ดีจริงนอกจากจะครองอยู่ในเรือนศรี หรือเป็นศรีตามทักษาแล้ว กัมมะนั้นต้องครองอยู่ในเรือนศรีแก่กัน เช่นพระอาทิตย์ (๑) ในราศีธนูและมีนเป็นต้น ถึงพระเคราะห์ทั่วไปก็เช่นเดียวกัน ถ้าได้ครองอยู่ในเรือนที่เป็นศรีแก่กัน ก็ถือว่าพระเคราะห์ในสถานะเช่นนั้น เป็นพระเคราะห์สำคัญ

กัมมะที่เป็นมหาอุจ โดยองศาไม่เกิน 10 องศา มั่นคงกว่าอุจในลักษณะอื่น

ชาตาในรูปลักษณะตรีโกณย่อมแสดงคุณตามทักษาในเรือนมุมของพระเคราะห์เสมอ

ชะตาหญิงที่มีกัมมะเป็นพระพฤหัสบดี (๕) โดยมีพระจันทร์ (๒) ครองอยู่ในราศีเมษ และบริสุทธิ์ เป็นผู้มีเกียรติยศยิ่งใหญ่

พระพุธ (๔) หรือพระพฤหัสบดี (๕) ที่เป็นอายุตามทักษาจะต้องพิจารณาไปถึงความเป็นโรคเส้นประสาทและสมองด้วย เพราะว่าถ้ามีพระอังคาร (๓) ร่วม หรือกุมพระเคราะห์ตัวใดตัวหนึ่งไว้ แล้วสถิตอยู่ในเรือนมรณะแก่ลัคนาหรือวินาศแก่ตนุเศษก็ดี จะต้องฆ่าตัวตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย นอกจากลัคนานั้นจะอยู่ในราศีพิจิก เพราะราศีพิจิกไม่มีวินาศแก่ลัคนาหรือตนุเศษ (ความคิดเห็น หมายถึงถ้าพุธ (๔) หรือพฤหัสบดี (๕) เป็นดาวอายุ มีอังคาร (๓) ร่วมหรือกุมแล้วอยู่ในเรือนมรณะวินาศลัคนาหรือตนุเศษ มักเป็นโรคประสาทจนควบคุมตนเองไม่อยู่ แล้วฆ่าตัวตาย แต่เท่าที่พบมาถ้าเป็น 10 ลัคน์ พระเคราะห์ เสาร์ (๗) กุมลัคน์เล็งลัคน์ ถ้าเป็นองค์เกณฑ์ด้วยหนักมาก)

พระอาทิตย์ (๑) กับพระพุธ (๔) เมื่อกุมกันถือว่าเป็นคู่วิชาการ แต่ถ้ากรรมะอยู่ในเรือนกาลกิณี กลับกลายเป็นคนหวงพืช ชอบใชวิชาจำกัดการมีบุตร เช่นรีดลูกหรือกินยาตัดเป็นต้น พระอาทิตย์ (๑) กับพระพุธ (๔) กุมกันมีเรื่องสำคัญจะขอไปพูดข้างหน้า

พระราหู (๘) สถิตในราศีตุลย์ของดวงชะตาผู้ใด ควรพยายามหลีกเลี่ยงในกรณีอันจะนำไปสู่อรรถคดี

 หมายเหตุ: เพื่อเก็บรักษาและเผยแพร่บทความ ที่อาจารย์ได้เคยเขียนไว้ เนื่องจาก เวลานี้ Website: www.10luckastro.com ของอาจารย์ได้หายไปแล้ว ศิษย์รุ่นหลังๆ จะได้มีตัวอย่างดวงไว้ศึกษาหาความรู้


ดาว 7-8 ให้ความสำเร็จเรื่องลาภผลเงินทองจริงหรือ


เสาร์ราหูจร คู่นี้ คัมภีร์เก่าๆ ยกย่องว่าดีนัก เวลาจรมาพบกันจะให้ความสำเร็จที่ดี มักกล่าวไว้สั้นๆ เป็นนัย ไม่มีคำอธิบายโดยละเอียด ทำให้ผู้เรียนรู้ศึกษาเข้าใจผิด ว่าแต่คุณด้านเดียว

เรียน....อาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ
ผมขอออกตัวเสียก่อนว่าผมเป็นนักโหราศาสตร์สมัครเล่น ไม่สันทัดจัดเจน ทางโหราศาสตร์นัก

จึงมักเกิดปัญหามากในการเรียนรู้ ครั้นนำไปไต่ถามบรรดาโหราจารย์ มักได้รับคำอธิบายแบบปิดๆ เปิดๆ ไม่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ผมจึงจำเป็นต้องนำมาถามท่านอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ เพราะเป็นผู้เดียวที่เป็นที่พึ่งได้

ปัญหาของผมมีดังนี้ วันที่ 15 ธันวาคม 2533 ตามปฏิทินโหรของสมาคมโหร เสาร์จะยกเข้าราศีมังกร ไปร่วมด้วยราหู ซึ่งอยู่ราศีมังกรอยู่แล้ว ดาวเสาร์ราหูเป็นคู่มิตรใหญ่ ตำราทุกตำรายกย่องว่าดีนักในการให้ความสำเร็จเป็นลาภผลเงินทอง โหรทุกท่านก็ใช้พยากรณ์ทางที่ดี จึงเรียนถามความเห็นว่าพอเชื่อได้หรือไม่

ขอแสดงความนับถือ
นายบรรจง สุขนิรันต์

……………………………………………………….

เรียน คุณบรรจง สุขนิรันต์ ที่นับถือ
อันที่จริงดาวทุกดวงมีทั้งให้คุณและให้โทษทั้งสองสถาน การอ่านดาวอย่าลำเอียงเข้าข้างดาว

จะพยากรณ์ผิดพลาด คุณต้องนึกถึงเหตุผลอันเป็นข้อเท็จจริงว่า ถ้าดาวเสาร์ ราหูจร มาต้องกันเกิดผลดีไปหมดแล้ว บุคคลและดวงชะตาทุกดวงทั้งโลกมิดีเลิศไปหมดทุกคนหรือ ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้

คุณต้องเข้าใจว่า ดาวคู่นี้อาจให้ทั้งคุณและโทษทั้งสองสถาน ยามใดให้คุณ ยามใดให้โทษ ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ อย่าหลงผิด บางดวงเกิดคุณ บางดวงเกิดโทษ สุดแต่พื้นชะตาของแต่ละคนเป็นสำคัญ ยามเกิดคุณ ถ้าดวงชะตานั้นเสาร์ และราหูในพื้นดวงเดิมสถิตย์เป็นคุณแก่ดวงชะตา เช่น เป็นลาภะ ศุภะ ยามจรมาต้องกันก็จะเกิดคุณ และดาวเสาร์ ราหูจรมาพบกันในภพใดทางลัคนา ถ้าพบกันในภพลาภะ ศุภะ กดุมภะจะให้คุณแรง ส่วนภพอื่นๆ ก็จะเบา ถ้าทางทักษาดาวใด ดาวหนึ่งเป็นศรีจร ย่อมให้คุณ ยามเกิดโทษ ให้พิจารณาพื้นดวงเดิม ถ้าเสาร์หรือราหูสถิตย์เป็นโทษแก่ดวงชะตาเป็นพื้นอยู่แล้ว เช่น เสาร์ หรือราหูในดวงเดิมสถิตภพอริ มรณะ หรือเสาร์ ราหูเป็นเจ้าเรือนอริ มรณะยามจรต้องกันมักเกิดโทษ

ภพที่ราหูและเสาร์ จรมาพบกันก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าจรมาพบกันในภพอริ มรณะลัคนา จะให้โทษมากกว่า หรือเสาร์ ราหูเป็นกาลกิณีจรในปีนั้น จะเกิดโทษแรง ถ้าพิจารณาให้ละเอียด ควรดูพฤหัสที่จรอยู่ในราศีกรกฏด้วย เพราะจรอยู่ราศีทวาร เล็ง เสาร์ ราหู แสดงถึงการร่วมสัมพันธ์ถึงกันเต็มตัว

อรุณ ลำเพ็ญ

………………………………………………

ดาวตกภพอริ มรณะ วินาสน์

เรียน อาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ ที่นับถือ
ผมเป็นนักศึกษาโหราศาสตร์สมัครเล่น ชอบค้นคว้าหาข้อเท็จจริงในโหราศาสตร์ ตำหรับตำราเก่าใหม่ผมหาซื้อเอาไว้ทั้งนั้น บางเล่มอ่านรู้เรื่องดี บางเล่มยิ่งอ่านยิ่งโง่ บางเล่มขัดแย้งกันจนไม่อาจตัดสินใจได้ แต่ผมก็ได้ศึกษามาหลายปี แม้ขณะนี้ก็ยังวนเวียนไม่บรรลุผลสักที ที่สำคัญคือเวลาข้องใจติดขัดไม่รู้จะถามใคร ครั้นถามอาจารย์เก่าบางท่าน ท่านก็มักจะอธิบายปิดๆ บังๆ ไม่ชัดเจน เหมือนกลัวว่าจะหลอกถามล้วงความรู้ท่าน

ผมขอถามปัญหาอาจารย์ดังนี้คือ มีตำราเก่าเล่มหนึ่งพิมพ์มานานแล้ว ระบุว่าภพในดวงชะตาคือ ภพอริ ภพมรณะ ภพวินาสน์ ดาวใดมาตกในภพนี้ จะไม่ถึงลัคนาอันเป็นตัวเจ้าชะตาเลย คือ เสียเปล่าสูญเปล่าไป ผมอ่านพอเข้าใจความหมายท่าน แต่ในทางปฏิบัติพยากรณ์ไม่ได้เลย ขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายให้ชัดเจนด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง

ขอได้รับความนับถือ
นายเกียรติ์ สงกร

เรียน คุณเกียรติ์ สงกร ที่นับถือ

ตำราที่คุณว่า จำได้ว่าเคยผ่านตาผมมานานแล้วครั้งหนึ่ง และกฏเกณฑ์นี้มีผู้กล่าวถึงอยู่เสมอมา อ้างว่าเป็นของเก่า ถือกันเรื่อยๆ มาโดยมิได้พิสูจน์ให้ชัดเจนพอ ความหมายของท่านก็คือว่า ภพอริ ภพมรณะ ภพวินาสน์ เป็นป่าช้าดาว ดาวอะไรเข้าสถิตย์สูญหายไปทันที เช่น ดาวอริ เข้าอริ หรือมรณะ ให้ทายว่าบุคคลนั้นอริตายเสียแล้ว ไม่มีศัตรู หรือชนะศัตรู ฟังๆ ดูก็พอเข้าใจได้บ้าง หรือถ้าเจ้าเรือนอื่น เช่น กดุมภะ ตกอริ มรณะ เงินไม่ถึงตัวเจ้าชะตา ก็พอฟังได้ แม้ไม่ชัดเจนนัก เพราะถ้าอ่านทางภพทางเรือนธรรมดา กดุมภะตกอริ หมายถึงการเงินพบอุปสรรค์ต้องดิ้นรนเดือดร้อนอยู่เสมอ กดุมภะตกมรณะ การเงินตาย หรือการเงินเสียหาย ไม่มีผล คือ เงินเดือดร้อนมาก

หรือในกรณีปัตนิตกอริ ปัตนิตกมรณะ เป็นความหมายชีวิตคู่ผัวเมียไม่ถึงเจ้าชะตา คือ หาเมียไม่ได้เลยชีวิตต้องเป็นโสดจนวันตาย ก็ยังพอฟังได้ ถ้าอ่านทางภพทางเรือนธรรมดา อ่านว่าความรักหรือครอบครัวเจ้าชะตา พบอุปสรรค์เดือดร้อน หรือมีคู่มักเลิกร้างเป็นม่าย

มาถึงคำๆ หนึ่งคือ ตนุตกอริ ตกมรณะ ถ้าอ่านตามแบบไม่ถึงตัวเจ้าชะตา ก็คือตัวของตัวเองไม่ถึงตัวเจ้าชะตาแล้ว เป็นความหมายที่ยากแก่ความเข้าใจได้ ถ้าอ่านทางเรือนทางภพธรรมดาก็จะได้ความหมายดีกว่า ตนุตกอริ คือ เจ้าชะตามีชีวิตที่พบอุปสรรค์ต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างหนัก ตนุตกมรณะ คือ ตัวเจ้าชะตามักป่วยเจ็บอยู่เสมอ สุขภาพไม่ดี หรือต้องจากไกลถิ่นฐานบ้านช่องอยู่เสมอ

คำว่าไม่ถึงตัว เป็นคำกล่าวของโบราณจารย์กล่าวเป็นคำอรรถ อุปมาอุปมัยไว้เป็นคำอรรถที่ต้องแปลความหมาย จะใช้เถรตรงนั้นไม่ได้ ท่านกล่าวไว้ไม่ผิดหรอก เพียงแต่เราไม่แปลความหมายของท่านให้ชัดเจนพอ จึงเกิดความเข้าใจไขว้เขวเป็นอย่างอื่นไปเสีย

การถือเถรตรงเช่นที่ว่านี้ ทำให้ความหมายหนึ่งเกิดสับสนขึ้น เช่น กาลกิณี ตกอริ มรณะ ถือว่าความชั่วไม่ถึงตัวเจ้าชะตา ชีวิตจะสุขสบายตลอดชาติ ซึ่งความจริงจากการพบเห็นดวงมากๆ มิได้เป็นเช่นนั้น

ดวงชะตาคือ ชีวิตเจ้าชะตาทั้งดวง ไม่มีภพใดเรือนใดเป็นข้อยกเว้น การแบ่งภพ 12 ภพ คือแบ่งชีวิตเจ้าชะตาออกเป็น 12 เรื่อง คือ ชีวิตเจ้าชะตาทั้งหมดดาวใดอยู่ที่ใดก็ถึงชีวิตเจ้าชะตาทั้งสิ้น

เช่น กาลกิณี ตกภพอริ หมายถึงกาลกิณีเน้นภพอริ ทำงานในอริ ทำให้ภพอริเป็นความหมายแรงขึ้น คือชีวิตเจ้าชะตามักพบความเป็นอุปสรรคมาก ต้องดิ้นรนต่อสู้ กาลกิณีตกภพมรณะ เจ้าชะตามักพบกับความสูญเสีย เสียหาย ความผิดพลาดในชีวิต หรือมักพบโรคร้ายประจำชีวิต

การเขียนมานี้มิได้หักล้างคำเก่าของโหรเก่า เพียงแต่ต้องแปลความหมายตามเจตนารมย์ของเดิมให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น

อรุณ ลำเพ็ญ

……………………………………………………….

การเรียนโหราศาสตร์

เรียนอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ ที่นับถือ


ผมเป็นสมาชิกใหม่ของสมาคมโหร และรับพยากรณ์สารได้ติดตามบทความในหน้าปัญหาโหรมาตลอดเพราะให้ความรู้ทางโหราศาสตร์ ด้วยเหตุผลที่เป็นข้อเท็จจริงให้หายสงสัยได้ดีมาก

ผมเองสนใจโหราศาสตร์ แต่จับจดมิได้จริงจังสักที เหตุที่มิได้จริงจัง เพราะจะเริ่มเรียนทีไร มักเกิดปัญหาที่ตัดสินใจไม่ได้สักที เคยนำปัญหาขึ้นหารือกับอาจารย์โหรใหญ่ๆ หลายท่าน แต่ที่ท่านตอบไม่อิ่มเลยมิหนำซ้ำคำตอบของท่านขัดแย้งกันเอง ยิ่งทำให้เกิดปัญหาซ้อนขึ้นมาอีก ความคิดมืดสลัวอยู่แล้วกลับมืดสนิทลงไปอีก ปัญหาของผม คือ

โหราศาสตร์อันเป็นวิชาพยากรณ์ ที่มีทางเสนออยู่ในปัจจุบันที่ผมติดตามอยู่มีหลายแขนงมีทั้งของฝรั่ง และโหราศาสตร์แขก รวมทั้งของไทยแท้ ผมเองสนใจเกือบทุกสาขา แต่ยังมิได้เริ่มเรียนจริงจัง เพราะการเรียนโหราศาสตร์ต้องใช้ทุนรอนการเงิน และเวลามากเป็นปี ถ้าเรียนผิดทางจะเสียทั้งเงินและเวลาไปเปล่าๆ หันมาเริ่มเรียนใหม่ก็มักสายเกินไป ผมเห็นตัวอย่างเพื่อนๆ หลายๆ คนเป็นเช่นนั้น เรียนไปเรียนไปนานเข้ากลายเป็นนักคุยโหราศาสตร์มากกว่าเป็นนักพยากรณ์ที่แท้จริง

โดยใจจริงผมสนใจโหราศาสตร์ไทย เพราะเป็นมรดกตกทอดมาเป็นพันปี แต่ก็พบปัญหาตรงที่โหราศาสตร์ไทยก็มีหลายระบบ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเริ่มเรียนระบบใดได้ถูก

ขณะนี้กำลังสนใจโหราศาสตร์ไทยระบบนวางค์จักร เพราะระบบนวางค์จักรเล่นดาว 2 ชั้น คือ ชั้นแรกดาวมีตำแหน่งในราศี และชั้นที่ 2 ดาวเกาะนวางค์ ทำให้รู้ผลว่า ดาวในราศีนั้นๆ ไปสถิตราศีใดในนวางค์เป็นการตัดสินสุดท้ายว่าดาวดีหรือชั่ว เพราะดาวเกาะนวางค์ทำให้จรไปสถิตในราศีต่างบอกตำแหน่งที่แท้จริงได้ทุกกรณี คิดว่าเป็นระบบที่ดีที่สุด

แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อความคิดอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ ว่าเป็นผู้รู้แตกฉานจริง พอที่จะแนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผมได้อย่างแท้จริง ได้โปรดกรุณาด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง แก่คนโง่อย่างผม

ด้วยความนับถืออย่างแท้จริง
ชโยดม ดำรงชัย

……………………………………………………….

เรียน คุณชโยดม ดำรงชัย ที่นับถือ

ปัญหาของคุณข้อแรกคือ คุณเป็นคนฉลาดเกินไป พยายามหาเหตุผลในสิ่งที่คุณไม่รู้แจ้ง จึงไม่อาจแก้ปัญหาได้ ถ้าคุณโง่สักหน่อยจับเรียนโหราศาสตร์สายใดสายหนึ่งไปด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นแล้วป่านนี้คุณอาจเป็นนักพยากรณ์ไปแล้วก็ได้

ปัญหาของคุณเป็นปัญหาชุมชนส่วนใหญ่ที่กำลังจะเริ่มเรียนรู้วิชาโหราศาสตร์ ทุกคนที่กำลังประสบมาแล้วและกำลังประสบอยู่ แต่ละคนไม่อาจแก้ปัญหาของตนได้

โหราศาสตร์ไทยทุกวันนี้ได้ถูกแบ่งระบบการพยากรณ์ออกเป็นหลายแขนง แต่ละแขนงก็มีความเฉพาะในระบบของตน แบ่งคราวๆ ได้หลายระบบ
1.โหราศาสตร์ไทยผสมระบบโหราศาสตร์ตะวันตก
2.โหราศาสตร์ไทยผสมโหราศาสตร์แขกระบบฮินดู
3.โหราศาสตร์ระบบนวางค์จักร
4.โหราศาสตร์ไทยที่ใช้ทักษา เดช ศรี กาลี เป็นหลัก
5.โหราศาสตร์ที่ยึดคัมภีร์โบราณเป็นทางพยากรณ์ เช่น อินทภาสบาทจันทร์ กาลจักรลัคน์จร จักรทีปนี
6.โหราศาสตร์ไทย ที่ใช้ดาวลอยอาศัยเรือนเป็นดวงพยากรณ์
7.โหราศาสตร์ไทยที่เล่นทางภพ ทางเรือน และธาตุ และความหมายดาวเป็นหลักพยากรณ์

แต่ละระบบ ต่างมีจุดเด่นจุดด้วยแตกต่างกันทุกระบบ แต่ละระบบที่ดีจะมีจุดพยากรณ์ทางจรอันเป็นจุดปรารถนาอันสูงสุดของการพยากรณ์โดยสมบูรณ์

การเรียนของผู้ริเริ่มประเภทหนึ่ง คือพวกที่เป็นปัญญาชน มักชอบซื้อหนังสือตำรับตำรามาอ่านรียนด้วยตนเอง โดยความเชื่อมั่นว่าสรรพความรู้ย่อมมีอยู่ในตำราทั้งสิ้น

บรรดาท่านเหล่านี้มักเรียนไปแล้วจะพบจุดจบจนมุมได้ง่ายๆ ตรงที่ตำราต่างๆ ที่มีอยู่เป็นส่วนมากมักเขียนอย่างบันทึกมากกว่าตำราเรียนด้วยตนเอง มีแต่บทที่เป็นกฎ และกฎ แต่มักไม่มีวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้กฎนั้นๆ การเขียนตำรานั้นๆ มักเขียนให้ท่องจำมากกว่าเขียนให้เกิดความเข้าใจ และที่เหมือนๆ กันเป็นส่วนมาก คือ ตำราโหราศาสตร์ไทยไม่มีระบบทายจรอันเป็นหัวใจสำคัญ ทำให้ความรู้ทางโหราศาสตร์ถูกจำกัดไม่สมบูรณ์

อีกพวกหนึ่งเป็นพวกมีความคิดว่า การเรียนรู้หลายๆ ระบบ แล้วนำผสมผสานกันจะทำให้สามารถมากกว่าปกติ พวกนี้มักเรียนสิ่งละอันพันละน้อยผสมกันจนจำรูปร่างไม่ได้ ใครบอกอะไร พบในตำราใดเก็บสะสมเอาจนหมดไม่เว้นเลย

ทั้งสองพวกนั้นเรียนมากเข้ามักเป็นนักโหราศาสตร์ประเภทมีความรู้ แต่ไม่มีความสามารถ ถึงรู้แต่พยากรณ์จริงๆ ไม่ได้ เหมือนค้างคาว คือจะเป็นนก แต่มีหู จะเป็นหนูแต่มีปีก เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแท้จริงไม่ได้

โหราศาสตร์ไทยที่มีโครงสร้างเดียวกันแต่แยกออกไปถึง 7 สายนั้น เพราะเหตุที่โบราณจารย์สมัยเก่าก่อนผู้ริเริ่มได้ใช้สถิติดาวคนละมุม ท่านพบเห็นมามากในกฎของท่าน ท่านจึงนำมาตั้งกฎพยากรณ์ในแนวของท่าน และอาจารย์ท่านอื่นท่านก็เก็บสถิติมาคนละทาง จึงมีกฎพยากรณ์คนละสายแตกต่างจากกันไปมากน้อยตามระบบของท่าน ศิษย์รับถ่ายทอดจึงเป็นคนละสาย ทั้งๆ ที่เป็นโหราศาสตร์ไทยด้วยกัน แต่จะเป็นสายใดแขนงใด กฎที่ดีของท่านจะสมบูรณ์แบบและมีศักยภาพในการพยากรณ์ ทั้งดวงเดิมและดวงจรโดยสมบูรณ์แบบแม่นยำทุกแขนง

ขออย่างเดียวคุณอย่าทำตัวเป็นคนเก่ง คือเรียนทุกแขนงแล้วนำมาผสมปะปนกัน จะทำให้มิได้ผลในการเรียนรู้ เพราะแต่ละระบบจะมีเอกทัศน์เป็นของตนเอง โดยไม่อาจจำเอามาผสมรวมกันได้สนิท และอีกประการหนึ่งที่ควรรู้คือ ควรเรียนโดยมีครูบาอาจารย์เป็นตัวตน เพราะจะทำให้การเรียนรู้ของคุณเดินได้ตรงทางไม่คดเคี้ยวเลี้ยวลดเข้าป่าไป

คุณจะเริ่มเรียนระบบใดก็ได้ แต่ขอให้ตั้งปนิทานว่า จะขึ้นต้นด้วยระบบนั้นๆ จะต้องเรียนให้สุดปลายของระบบนั้นจึงจะได้ผลทางการพยากรณ์ ส่วนการที่จะสามารถเก่งกาจอยู่ที่ตัวคุณเองที่จะมี ศรัทธา วิริยะ จิตตะ วิมังสา ได้มากน้อยเพียงใด วิชาที่อาจารย์สอนเหมือนน้ำ ผู้เรียนเป็นภาชนะ ตุ่มที่รับน้ำ ถ้าตุ่มเล็กย่อมเติมแม้เต็มก็น้อยกว่าตุ่มใหญ่ และถ้าตุ่มรั่วเติมน้ำเต็มเท่าใดก็ไม่รู้จักเต็ม

ก่อนเรียนระบบใดกับอาจารย์ใดก็ตาม ควรได้พิสูจน์เป็นการแน่ใจเสียก่อนว่าระบบโหราศาสตร์นั้นๆ มีศักยภาพในการพยากรณ์เพียงใด ระบบการพยากรณ์ที่ดีและสมบูรณ์แบบย่อมมีศักยภาพดังนี้
1.ง่าย และสะดวกรวดเร็ว และมีผลทางพยากรณ์
2.พยากรณ์ได้รอบตัวถึงพฤติกรรมของชีวิตมนุษย์ เช่น งาน เงิน ครอบครัว สุขภาพ ฯลฯ
3.การพยากรณ์ต้องมีรายละเอียดประกอบ และมีกำหนดเวลาที่จะเกิดเหตุทั้งร้ายและดีด้วยโดยเฉพาะทางจร
4.ควรหลีกเลี่ยงระบบคำนวณละเอียดมากมาย แต่ผลพยากรณ์สั้นนิดเดียว ไม่ได้ความละเอียดชัดเจน และเมื่อได้พิสูจน์ตามหลักการที่ผมกล่าวมาแล้ว ก็จะเรียนในระบบใดก็ได้เพราะผลปลางทางจะมีจุดสุดยอดเช่นเดียวกัน ขอเรียนถึงจุดของความบกพร่องในระบบนวางค์จักร ที่คุณคิดว่าดีกว่าราศีจักร หรือระบบนวางค์จักรเป็นระบบที่สมบูรณ์ที่สุดนั้น ความจริงในตัวระบบก็ยังมีจุดไม่พร้อมครบสมบูรณ์ดังต่อไปนี้

ดาวดวงใดดวงหนึ่ง สถิตในราศีหนึ่งมีสิทธิ์เกาะนวางค์ในราศีนั้นเพียง 9 ลูกนวางค์ นวางค์แต่ละลูกมีเกษตรประจำราศีเป็นดาวเจ้านวางค์ พูดตรงๆ คือ ดาวในราศีจักรมีสิทธิ์ที่จะเกาะนวางค์ แล้วก้าวไปสถิตในราศีอีกราศีหนึ่งๆ ตามผลของเจ้านวางค์ได้ 9 ราศีเท่านั้น ยังคงขาดไม่ครบจักรราศีที่มี 12 ราศี คือ
ดาวใดและจรเข้านวางค์ไปได้เพียง 9 ราศีเท่านั้น ขาดไป 3 ราศี เช่น
1.อาทิตย์เป็นประในราศีกุมภ์ ไม่ว่าเกาะนวางค์ใดไม่อาจเปลี่ยนสภาพเป็นเกษตรได้ เพราะนวางค์ไม่ถึงราศีสิงห์
2.จันทร์เป็นอุจจ์ในราศีพฤษกไม่ว่าเกาะนวางค์ใดไม่มีทางเป็นนิจได้ เพราะนวางค์จักรไม่ถึงราศีพิจิก
3.อังคารเป็นเกษตรราศีเมษ ไม่มีทางเป็นอุจจ์ในราศีมังกร เพราะนวางค์ไม่ถึงราศีมังกร
4.จันทร์เป็นเกษตรราศีกรกฏ ไม่มีทางเป็นอุจจ์ในราศีพฤษกได้ เพราะนวางค์ไม่ถึงราศีพฤษก
5.ราหูเป็นอุจจ์ในราศีพิจิก ไม่มีทางเป็นนิจในราศีพฤษกได้ เพราะนวางค์ไม่ถึงราศีพฤษก

ยังมีอีกหลายกรณี จะไม่กล่าวถึง เป็นแต่เพียงยกตัวอย่างให้เห็นว่านวางค์จักรมีการพิสูจน์ดาวได้ 100เปอร์เซ็นต์มิได้อย่างคุณเข้าใจ

ถ้าคุณโชคดีและแสวงหาอาจจะพบระบบราศีจักรบางระบบ ที่พิสูจน์ดาวได้ชัดเจนกว่าระบบนวางค์จักรหวังว่าในอนาคตอันใกล้ๆ คงได้เห็นชื่อคุณได้ขึ้นทำเนียบเป็นพยากรณ์ฝ่ายโหราศาสตร์ไทย

อรุณ ลำเพ็ญ

เดี่ยวการเดินทาง ๑ - ๔

โดย เณร อยู่นาน



ข้อเขียนที่ท่านผู้อ่านของผมจะได้อ่านต่อไปนี้ จะเป็นข้อเขียนที่จัดเข้าอยู่ในหมู่ข้อเขียนทางวิชาการโหราศาสตร์หรือไม่ ผมไม่แน่ใจนัก พยายามเข้าข้างตัวเองและเข้าข้างคนอ่านแบบครึ่งต่อครึ่งแล้ว ก็ยังลังเล ตัดสินใจไม่ได้เด็ดขาด

จึงเพื่อให้หมดปัญหาในประเด็นเป็นหลักวิชาการทางโหร หรือเป็นเรื่องอ่านเล่นประโลมโลกย์ ผมจึงตัดสินใจวัดดวงตัวเอง ด้วยการส่งมาให้โหราเวสม์พิจารณา ถ้าโหราเวสม์อันเป็นนิตยสารทางโหราศาสตร์ลงให้ ก็ถือว่ามีส่วนเป็นบทความทางโหราศาสตร์บ้างถึงแม้ไม่หมดทั้งดุ้น แต่ถ้าไม่ได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ ก็ฟันธงยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องนอกเรื่องหรือนอกไลน์ ควรจะไปหาที่ลงที่อื่น

อันที่จริงเรื่องการเดินทาง ในวิชาการโหราศาสตร์เขามีข้อจำกัดไว้ว่า ถ้าพระอาทิตย์ ๑ จรมาทับลัคนา หรือเล็งลัคนาเมื่อใด เมื่อนั้นจะมีการเดินทางเกิดขึ้น อย่างในขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ พระอาทิตย์ ๑ โคจรเข้าราศีเมษซึ่งเป็นราศีธาตุไฟชั้นหนึ่งเกือบกลางราศี

ดังนั้นคนราศีเมษ กับคนราศีตุลย์ ไม่ว่าหญิงหรือชาย ที่ถูกอาทิตย์ ๑ ทับและเล็งจะต้องมีการเดินทางไกลบ้างใกล้บ้างในระหว่างนี้แน่นอน คนราศีอื่นก็มีบ้างแต่ไม่เท่าคน 2 ราศีดังกล่าว ยิ่งถ้าเป็นอาทิตย์ ๑ เป็นกาลีจรทางทักษา ยิ่งจะมีแรงกระตุ้นต่อมความร้อนที่อยู่ได้มากขึ้น

ในมุมมองอีกมุมหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่มุมมองเดียวกับคนที่เรียนโหราศาสตร์ การเดินทาง ก็คือการเดินทาง คือการต้องออกจากบ้านที่เคยอยู่ชั่วคราวไปที่อื่น บางรายรับแรงเอื้อมจากอาทิตย์ ๑ ไม่แรง ก็แค่อยู่ไม่ติดบ้าน ชอบไปโน่นไปนี่ ไปดูหนังฟังเพลง ช้อบปิ้ง แล้วกลับบ้าน เช้าขึ้นมาก็หาเรื่อง หรือหาเหตุออกจากบ้านใหม่จนไม่มีที่จะไป หรือเงินในกระเป๋าหมดจึงหยุด

ผมจึงมองว่าการเดินทางมีความแตกต่างหลากหลายเหลือคณานับ เช่นไปเยี่ยมญาติ ไปทวงหนี้ เดินทางกลับบ้านไปรับมรดก หรือเดินทางไปรับตำแหน่งงาน แบบนี้ถือว่าไปดี ถ้าตำแหน่งงานนั้น เป็นตำแหน่งที่ดีกว่าตำแหน่งเดิม การเดินทางแบบนี้พฤหัสบดี ๕จร ต้องดีด้วย

ถ้าแย่กว่าเดิม เช่นเดินทางไปรับตำแหน่ง 3 จังหวัดภาคใต้ ถึงตำแหน่งดีกว่าเดิม แต่เสี่ยงตายสูง อาจไปชนกับระเบิดตายก็เป็นได้ หรือไปในที่ๆ เราไม่ต้องการไป ถือว่าเป็นการเดินทางไปไม่ดี การเดินทางเช่นนี้ โดยมาก พฤหัสบดี ๕ จรไม่ดีกับลัคนา หรือเป็นกาลีจร หรือมีเสาร์ ๗ หรือราหู ๘ จรมาทับลัคน์เล็งลัคน์

การเดินทางอีกประเภทหนึ่ง คือไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไม่ค่อยมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน เรียกว่าค่ำไหนนอนนั่น นึกอยากจะอยู่ๆ นึกอยากจะไปๆ ที่ไหนชอบอยู่นานหน่อย ไม่ชอบก็อยู่สั้นหน่อย การเดินทางลักษณะนี้คล้ายการท่องเที่ยว ต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ที่ถ้าเป็นการท่องเที่ยวจริง เขาจะไปที่ๆ เขาชอบและอยากจะไป ทั้งยังวางโปรแกรมไว้แน่นอน จองตั๋วเดินทางจองที่พักไว้เรียบร้อย

แต่การเดินทางของคนที่มีลัคนาสถิตราศีเมษ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายนที่ผ่าน ถ้าจะจัดเข้ากลุ่มเดินทาง น่าจะอยู่ในกลุ่มร่อนเร่พเนจรได้ทีเดียว

คือเริ่มที่สะพายเป้เล็กๆ บนบ่า ซึ่งมีเสื้อยืดดำ 2 ตัว กางเกงขาสั้น 3 ตัวสนับรวมข้อเท้ากันปวดข้อ 1 คู่ ผ้าขาวม้า 1 ไม้เท้า 1 กล้องถ่ายรูป 1 มีดเดินป่า 1 หมวกกันแดด 1 ขวดน้ำเสียบข้างเป้อีก 1 ที่สำคัญคือ ไดอารี่โหรปี 2554 ของ อ. ทองเจืออ่างแก้ว 1 เล่มพร้อมเงินติดตัวอีกเล็กน้อย

นอกจากนั้นเป็นถุงยังชีพที่สำคัญ ไปไหนขาดไม่ได้ และปกติก็วางไว้หัวนอน คือยาประมาณว่า 10 ขนาน อาทิเช่น ยาแก้ปวดแก้ไข้ ยาลดยูริด ลดความดัน ควบคุมไขมันในเส้นเลือด ละลายลิ่มเลือดในหัวใจ ยาแก้ท้องเสีย ยาหม่อง เคาน์เต้อร์เพน ยาแก้ปวดหลังชนิดสเปรย์ เบตาดีน รักษาแผลสด และสุดท้ายแก้ เก๊าอักเสบรุนแรง

ก่อนออกเดินทางตอนเช้าผมพลิกดูดาวจรประจำวัน เห็นอาทิตย์ ๑ จรอยู่ในราศีเมษ 4 องศา จันทร์ ๒ จรเข้าราศี ตุลย์ ประมาณ 3 องศา จึงแน่ใจว่าการเดินทางเที่ยวนี้ เป็นการเดินทางที่ไม่น่าจะมีเหตุร้ายอะไร สมควรแก่การจะมีโชคลาภประการเดียว

แต่ความราบรื่นทั้งปวงมลายหายสิ้นเมื่อเวลา 08.28 น.คือก่อนหน้านั้นผมได้เรียกแท้กซี่ให้ไปส่งสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ พอไปได้สักพัก พระจันทร์ ๒ จรแบบ10ลัคนา จรเข้าราศีพิจิกเรือนมรณะกับราศีเมษ อันเป็นที่สถิตตัวตนของผม

ทำให้บนถนนที่รถผมต้องผ่าน มีรถของใครต่อใครไม่รู้ หลากสี เก่าบ้าง ใหม่บ้าง แออัดยัดเยียดอยู่บนถนนเต็มไปหมด กะดูด้วยตารถที่มีราคาต่ำกว่า 1 ล้านลงมามากหน่อย ที่ 2-3 ล้านขึ้นไปไม่ค่อยมาก ทำให้ผมมีไอเดียร์วูบหนึ่งขึ้นมาว่า การแก้การติดขัดการจราจรบนถนนไม่ใช่เป็นของยากอีกต่อไป

คือใครซื้อรถมาจะใหม่หรือเก่าราคาเท่าไรไม่สน เวลาไปตีทะเบียนหรือโอน ให้เสียภาษีเท่าราคาซื้อมา เท่านี้รถก็จะลดจำนวนลงไปโดยอัตโนมัติ ครับ นี่คือความคิดที่ไม่ห้ามการลอกเลียนแบบ กระทรวงคมนาคมหรือกรมการขนส่งเอาไปใช้ได้เลย

เป็นอันว่าวันนั้นการเดินทางจากบ้านร่มเกล้าไปขนส่งสายใต้ใหม่ ใช้เวลาเท่ากับไปเพชรบุรี ค่าแท้กซี่เกือบเท่ากับรถ วีไอพี. ไปชุมพร คือเกือบ 400 บาท

เมื่อไปถึงขนส่งใหม่ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหน ระหว่างประจวบฯกับชุมพร จึงเดินลากเป้ไปเรื่อยๆ ดูรายการรถออก พอดีไปพบโชคอนันท์ทัวร์ เป็นรถวีไอพี.ไปชุมพร 400 บาทจึงตัดสินใจซื้อตั๋ว พอซื้อตั๋วเสร็จท้องหิว จึงแวะร้านขายข้าวแกงปักษ์ใต้ กินข้าวแกงไปจานหนึ่ง แล้วออกเดินวนไปวนมาในชานชลา เพื่อหาที่นั่งพักขาเหมาะๆ

พอดีมองเห็นที่นั่งว่างที่หนึ่ง จึงเข้าไปนั่ง ถัดจากเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งมีโต๊ะเล็กๆ ขวางอยู่ อีกฝั่งมีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่คนหนึ่ง กะว่าวัย 60 กว่า เธอทักผมก่อนอย่างคนมีน้ำใจ ว่า... สวัสดีค่ะ จะดูดวงหรือลายมือคะ... เอาล่ะซิ เจอตอเข้าแล้ว ผมนึกในใจ จะลุกขึ้นย้ายที่นั่งไปที่อื่นก็กลัวเสียศักดิ์ศรี จะหาว่าคนน่ารักอย่างผมไม่มีค่าครู ครั้นจะดูก็ไม่รู้จะดูกันไปทำไม เพราะดูตัวเองอยู่ทุกวันจนแทบจะรู้ทุกรูขุมขนอยู่แล้ว จึงยิ้มกับเธอแล้วบอกว่าขอดูลายมือก็แล้วกันราคาถูกดี แค่ 49 บาท ทายผิดก็ไม่เสียดายเงิน ครับวรรคท้ายนี้ผมแค่คิด ไม่ได้พูดออกไป กลัวจะเป็นเรื่อง

ผมจึงแบบมือซ้ายแล้วยื่นให้เธอดู เริ่มต้นกันที่เส้นวาสนา เธอว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้ล้วนหรู ๆ ฟังแล้วเคลิ้มไปเหมือนกัน ดูเธอก็น่าจะเป็นมือชั้นเซียนคนหนึ่ง คือทายให้ถูกใจไว้ก่อน ส่วนถูกเรื่องหรือไม่เอาไว้ทีหลัง ผมได้แต่ยิ้ม ๆ พยักหน้ารับ คิดว่าจะผิดหรือถูกก็เป็นคำพูดที่เป็นมงคลประจำวันนั้น เธอพูดอยู่เส้นเดียววนไปวนมา ไม่ย้ายไปเส้นอื่น คิดในใจว่าราคา 49 บาท ที่ขึ้นป้ายไว้น่าจะคิดเป็นรายเส้น คือถ้าดู 2 เส้นก็ 98 บาท 3 เส้น 147 บาท 4 เส้นก็ 196 บาท ดู 10 เส้นก็ 490 บาท

ทำให้ผมได้ความคิดใหม่ว่า กลับบ้านไปจะทำบ้าง คือใครจะมาดูดวงกับผม จะคิดค่าดูเป็นรายราศีหรือเรือนละ 100 บาท 12 ราศีหรือ 12 เรือนชะตา 1200 เรือนทักษาอีก 8 เรือน 800 รวม 2000 พอดี นี่ยังไม่รวมค่าทายจรอีกดาวละ 100 เบ็ดเสร็จ 3000 บาท ถ้าทำได้แบบนี้ไม่รวยเละก็ให้มันรู้เรื่องไป

หลังจากนั่งให้เธอทายไปสักพักพอหายเมื่อยขา ผมลุกขึ้นล้วงกระเป๋าหยิบเงินใบละ 100 ส่งให้ เธอส่งให้เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้กันและให้ทอนผม ผมจึงบอกว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยกให้ทั้งหมด เพราะผมก็เป็นโหรเหมือนกัน ต้องมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมอาชีพ เธอกล่าวขอบคุณผม ผมจึงถือไม้เท้าอันโปรดเขยกต่อไป เพื่อรอเวลารถออก นึกในใจว่าดีนะที่เธอไม่ยกยอปอปั้นว่าถ้าผมลงเลือกตั้งเที่ยวนี้จะได้เป็นนายกแทนท่านอภิสิทธ์

วันนั้นเป็นอันว่าผมจับรถ กรุงเทพฯ-ชุมพร เที่ยว10.30 น.ถ้าผมจำไม่ผิด ไปถึงชุมพรเกือบจะ 6 โมงเย็น เร็วหรือช้าผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้ไปชุมพรมาเกือบ 10 ปีเศษ เมื่อลงจากรถทัวร์ จึงจับรถมอไซค์รับจ้างให้ไปส่งโรงแรมที่ดีที่สุดถูกที่สุดของชุมพร และต้องใกล้ท่าเรือที่จะไปท่ายาง เพื่อขึ้นเรือลมพระยาไปเกาะสมุย คือ เรือจะผ่านเกาะนางยวน เกาะเต่า เกาะพะงัน เกาะสมุย ดอนสักตามลำดับ ผมหมายตาไว้ว่าจะไปฝึกถ่ายภาพที่นั่น จะได้เป็นช่างภาพมือดีตอนแก่กับเขาสักคน

ในที่สุดผมก็ได้โรงแรมที่ต้องการ คือโรงแรมท่ายางริมแม่น้ำชุมพร ค่าที่พัก 250 บาทต่อคืน เป็นห้องแอร์ เสียอย่างเดียวไม่มีห้องกาแฟ และห้องอาหาร ต้องไปหากินร้านอาหารข้างนอก ซึ่งมีอยู่ร้านหนึ่งที่ดูดี แต่ห่างจากโรงแรมไปสัก 1 กิโล ไม่มีรถประจำทาง ต้องเดินไปเอง เดินกลางคืนค่ำมืดในที่ๆ ไม่เคยไปแถมค่อนข้างเปลี่ยว ไฟริมถนนก็ไม่มี ฝนกำลังตกพรำ นานๆ จะมีรถผ่านมาสักคัน

ผมคิดระหว่างยอมเสี่ยงไปตายดาบหน้า ไปร้านอาหาร กับเอาน้ำลูบท้องแทนมื้อเย็น อย่างไหนจะดีกว่ากัน คนเฝ้าโรงแรมเห็นผมมีสีหน้าลังเลจึงอาสาขับมอไซค์ไปส่ง จึงรอดจากอดข้าวไปหวุดหวิด เขาส่งผมที่ร้านอาหารแล้วกลับโรงแรม โดยให้เบอร์โทรเอาไว้ว่าจะกลับให้โทรเรียกเขาจะมารับ ดูเขาเป็นห่วงเป็นใยผมค่อนข้างดี ก็ไม่ดูแลอย่างดีได้ไง เพราะคืนนั้นแขกผู้มีเกียรติของโรงแรม มีผมคนเดียว ห้องทุกห้องมืดมิดราวกับนอนในป่าช้า ทำเอาผมต้องนอนเผาบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าจนหลับ

เป็นอันว่าอาหารมื้อค่ำวันนั้น ผมตะกละกินคนเดียวมีเบียร์เย็นปลอบใจ 1 ขวด รวมแล้ว 400 บาท พออิ่มจึงเรียกเด็กมาถามว่าใครขับมอไซค์ได้ จะให้ไปส่งที่โรงแรม โชคดีได้บ๋อยร้านอาหารไปส่ง ผมเลยให้ค่าทิปไป 40 บาท เกรงใจคนเฝ้าโรงแรมจึงหาทางกลับเอง รับรองคืนนั้น ถ้าผมได้เบียร์ปลอบใจสัก 3-4 ขวด บ๋อยร้านอาหารคงไม่ได้เงินผมหรอก

ในตอนช้ามืดมีรถกระบะมารับเพื่อไปดักขึ้นรถวีไอพี ของลมพระยาทัวร์ที่ออกจากกรุงเทพฯ ในตัวเมืองชุมพร เพื่อไปขึ้นเรืออีกทอดหนึ่ง ปกติเขาจะไปส่งที่ท่าเรือเลย แต่วันนั้นแขกโรงแรมมีผมคนเดียวไม่คุ้มค่าน้ำมัน ค่าเรือไปเกาะพะงัน 1,200 หรือ 1,500 ผมจำได้ไม่แน่นักเพราะโรงแรมเก็บรวมกับค่าที่พัก ให้ผมเอาบิลไปขึ้นตั๋วเรือที่ท่าเรือ

ที่ท่าเรือลมพระยาวันนั้นน้ำลด เห็นสันดอนทรายทอดยาวสุดสายตา เรือจอดอยู่ไกลลิบ ต้องเดินไต่สะพานไม้เก่าแก่แกว่งไปมาเกือบกิโล กว่าจะถึงเรือ ทำให้ผมรู้สึกพากพูมใจอย่างยิ่งกับวัยใกล้ฝั่งพร้อมด้วยน้ำหนักเกือบ 30 กิโลบนหลัง ที่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยไม่ต้องหยุดพักใช้ยาลมเป็นตัวช่วย แม้จะถูกหนุ่มๆ ฝรั่งแซงไปหลายคนก็ตาม

ผมขึ้นเรือเอาของไปกองรวมกับของผู้โดยสารคนอื่นๆ ซึ่งกองสูงเกือบท่วมหัว กวาดสายตามองไปรอบๆ ที่นั่งเต็มเกือบหมด โชคดีข้างทางเดินมีที่ว่างอยู่ที่หนึ่ง มีสุภาพสตรีวัยรุ่นนั่งอยู่ชิดด้านใน ผมจึงหย่อนลงนั่งข้างเธอ คิดว่าเธอน่าจะเป็นคนต่างชาติ แต่ไม่รู้ว่าชาติไหน น่าจะเป็นฮ่องกง เกาหลี แต่ชั่งเถอะถึงยังไงก็คงพูดกับผมไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

จากท่าเรือชุมพร ผมนั่งอยู่ในห้องโดยสารแอร์พักหนึ่งจึงเดินออกมาข้านอก ขึ้นบันใดไปชั้นดาดฟ้าเพื่อรับลมทะเลชมทิวทัศน์และอาบแดดผสมปนเปไปกับวัยรุ่นฝรั่ง ทั้งนี้เพื่อจะได้สัมผัสความเป็นจริง ให้สมกับที่ตัดสินใจเดินทางแบบแบคแพ้คต้นฉบับชาวถนนข้าวสารที่แท้จริง ซึ่งในเที่ยวที่มีผมคนหัวขาวอยู่ มีแต่ฝรั่งหัวแดงเกือบจะ 95%

การเดินทางร่วมกับพวกฝรั่งต่างชาติ ที่จริงมันก็ดีไปอย่าง ต่างคนต่างอยู่ไม่มีใครมาชวนคุย รวมทั้งไม่ต้องไปชวนเขาคุย เพราะต่างมีภาษาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ฟังเขาพูดก็ไม่รู้เรื่อง พูดให้เขาฟังก็ไม่ได้เรื่อง มีแต่เยสๆ โนๆ โอมายก็อด

พูดไปก็น่าสมเพทตัวเอง เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งไปฝึกถ่ายภาพที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ขณะนั่งเรือเฟอร์รี่ส์ข้ามฟากจากแหลมงอบ เขาเห็นผมนั่งซดกาแฟร้อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะความหิว จึงเลื่อนกล่องขนมปัง ที่เขานั่งเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยข้างหน้าเขา มาให้ ผมได้แต่พยักหน้ายิ้มรับ คำขอบคุณจากปากผมสักคำก็ไม่มี เพราะนึกไม่ทันว่าภาษาเขาว่าอะไร

อีกอย่างพวกเขาไม่ค่อยจุกจิกจู้จี้ นึกอยากนั่งนอนตรงไหนก็ได้ บนม้านั่งที่เขามีให้นั่งไม่นั่ง ลงไปนอนพื้นที่วางเท้า เพราะเวลาคลื่นมา เรือโคลง หลับสนิทอย่างไรก็ไม่ตกทะเล เวลากินแทบไม่สนใจ น้ำขวดเดียวที่เสียบไว้ข้างเป้ หรืออย่างมากเบียร์กระป๋องเดียวกล้วยหอมลูกหนึ่งอยู่ได้ครึ่งวัน


เดี่ยวการเดินทาง 2 
โดย....เณร อยู่นาน

ผมอาบแดดอยู่กับพวกเขานาน จนรู้สึกหิวน้ำ จึงลงไปบาร์ขายเครื่องดื่มชั้นล่าง ซื้อแฮมไก่มากินอันหนึ่ง เติมน้ำดื่มเข้าไปอีกครึ่งขวด แล้วยืนเซไปเซมาคุยกับเด็กบาร์อยู่พักหนึ่ง จึงขึ้นไปยังดาดฟ้าอีก เพราะเรือเริ่มมีอาการกระโจนขึ้นลงเป็นจังหวะแต่ก็ไม่รุนแรงมากนัก เหมือนเป็นสัญญาณเตือนทุกคนบนเรือว่า ณ เวลานี้เราอยู่ในทะเล ไม่ได้อยู่ในอ่างเก็บหรือทะเลสาบ จึงต้องมีคลื่นลมบ้างตามธรรมชาติของทะเล

อยู่บนดาดฟ้าเรือแบบหลับๆ ตื่นๆ ท่ามกลางแสงแดดอยู่พักหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาเริ่มเห็นเงาสีเทาจางๆ ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าไกลออกไป จึงเอากล้องส่องทางไกลที่พกติดตัวส่องดูเห็นชัด ว่านั่นคือ เกาะนางยวนทาบทับซ้อนกันอยู่กับเกาะเต่าสวรรค์บนดินที่ใครๆ ต้องการจะได้สัมผัสนั่นเอง

ท่านผู้อ่านที่รักคงสงสัยว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าเป็นที่ไหน ก็อยากจะขอกราบเรียนว่า ผมเป็นลูกชาวสวนชาวไร่ที่เกิดสมุยเป็นชาวเกาะแท้ ในช่วงปี 2496 ที่มาเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ ผมเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเรือบรรทุกมะพร้าว ท่องไปท่องมาอยู่ในอ่าวไทยประจำปีละเที่ยวเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นในทะเลอ่าวไทยเกาะใหญ่ที่มีชื่อ จึงจำได้ไม่ผิด

เรือลมพระยาใช้สปีดเต็มกำลัง ถาโถมเล่นคลื่นอีกพัก สิ่งที่เห็นจากกล้องส่องทางไกล ทุกคนบนเรือสามารถเห็นได้ด้วยตา ผมจึงยกกล้องคู่มือขึ้นเล็งซูมภาพเกือบเต็มอัตราที่กล้องทำได้ เพื่อเก็บความงดงามของทะเลไว้เป็นที่ระลึกและอีกไม่นานนัก เรือเริ่มลดความเร็ว โฉบเข้าไปใกล้เกาะนางยวน ผมยืนอยู่บนดาดฟ้า จึงยกกล้องขึ้นเล็ง กดชัตเตอร์อย่างไม่ยั้งมือ เพื่อให้คุ้มกับที่อดออมอยู่หลายมื้อกว่าจะมาถึง และกล้องก็ได้ทำงานคุ่มค่า

เนื่องจากที่เกาะนางยวนไม่มีท่าเทียบ เรือจึงเลยเข้าไปเทียบท่าที่ท่าเรือเกาะเต่าเพื่อให้คนลง ผมสังเกตดูคนแวะลงที่เกาะเต่าเกือบครึ่งลำ นอกจากคนที่มาเที่ยวแล้วยังมีสะเบียงประกอบอาหาร เช่นหมูเห็ดเป็ดไก่ใส่ถุงพลาสติกอีกกองพะเนิน กว่าจะออกเรือได้เกือบครึ่งชั่วโมง ที่เกาะเต่าผมยังมีเพื่อนวัยเดียวกันสมัยเรียนประถมคนหนึ่ง คิดว่าวันหลังจะแวะมาเยี่ยม ถ้าไม่เขาหรือผมไปวัดเสียก่อน

ที่เกาะเต่าผมเก็บภาพประทับใจได้มากมาย ไม่เสียแรงที่เสี่ยงเดินทางมาแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ แถมอยู่ในวัยปริ่มๆ น้ำ พร้อมที่จะจมลงเป็นเหยื่อปูปลา

จากเกาะเต่า เรือลมพระยาเจ้าทะเลความเร็วสูง เท่าที่มีบริการอยู่ในขณะนี้ เบนหัวเรือออกทะเลลึกอีกครั้ง ทิ้งเกาะเต่าและเกาะนางยวนไว้เบื้องหลังอย่างไม่อาลัยใยดี บ่ายโฉมหน้าสู่พะงัน หัวเรือแหวกน้ำทะเลสีครามสดสวย เป็นฟองขาวแตกกระจายจนบางครั้งกระเซ็นขึ้นมาถึงดาดฟ้า

ผมถามเด็กบาร์ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรจึงจะถึงเกาะพะงัน เธอบอกว่าขึ้นอยู่สภาพทะเล ถ้าทะเลเรียบประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้ามีคลื่นลมแรงก็จะช้าหน่อย เพราะลมและคลื่นจะลดความเร็วเรือไปในตัว

ความจริงสำหรับผมจะถึงเมื่อไรก็ได้ ไม่มีจุดหมายตายตัว หรือนัดแนะกับใครที่ไหน ขอเพียงอย่าต้องลอยคออยู่กลางทะเลก็ใช้ได้

และในที่สุด เมื่อได้เวลาเรือก็เข้าเทียบท่าเกาะพะงัน ซึ่งมีสะพานคอนกรีตยาวยื่นออกไปในทะเล มีเรือทั้งเรือปลาและเรือโดยสารระหว่างเกาะจอดเทียบอยู่เต็มจนมองไม่เห็นสะพาน ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจกับความเจริญรุ่งเรือง ที่น่าจะล้ำหน้าสมุยไปไกล ถ้าเทียบกับที่ผมมาในสมัยยังเป็นเด็ก ต่างกันราวฝ่ามือกับหลังเท้า นักท่องเที่ยวที่เหลือจากเกาะเต่าลงที่นี่เกือบหมด เหลือไปถึงสมุยไม่กี่คน ส่วนมากจะเป็นคนสัญชาติเดียวกับผม

พะงันสมัยก่อนเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน เป็นเพียงกิ่งอำเภอเล็กๆ ผมเคยมาจับปลากับบรรดาเพื่อนๆ ครั้งหนึ่ง ที่อ่าวโฉลกหลำและติดพายุอดข้าวอยู่ที่นั่น 2 วัน ต้องกินมะพร้าวอ่อนกับปลาเผา แต่ทุกวันนี้แทบไม่มีของเก่าให้เห็น การเดินทางสมัยนั้นใช้เวลายาวนาน ในขณะที่ทุกวันนี้ 20-30 นาทีก็ถึง

หลังจากขึ้นบก ยืนพักบังเงาแดดอยู่ใต้ร่มไม้พอหายเหนื่อย จึงออกเดินลากเป้วนสำรวจในเขตท่าเรือ มองหาห้องน้ำก็ไม่พบ เคว้งคว้างยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี เพราะมีอ่าวที่มีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามแทบจะรอบเกาะ

ก็พอดีนึกชื่อเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งได้ ชื่อสมจินต์เขาบอกว่าเขาทำรีสอร์ท อยู่ที่หาดริ้น ความจริงสมจินต์ นอกจากเป็นเพื่อนร่วมเรียนกันมาแล้วยังเป็นญาติอีกชั้นหนึ่ง พี่ชายเขาเคยเป็นครูสอนผม พี่ๆ เขาทุกคนผมรู้จักและจำชื่อได้หมด นปูเพียงแต่ผมกับเขาไม่พบกันมานาน จนต่างคนต่างอายุเข้าหลัก 7 ถึงนึกได้

นี่แหละครับคือผมล่ะ จะคิดถึงแต่เรื่องของตนเองมาตลอด ต้องจนมุมจึงคิดถึงคนโน้นคนนี้ขึ้นมา

อย่างวันนี้ขณะที่ผมกำลังนั่งคุยอยู่กับศิษย์เวลา 14.37 น. มีคนโทรมาถามว่าคนของเขาหาย 2 วันแล้ว ไปดูหมอมาหมอบอกว่าตายและอยู่ใต้ท้องเรือ ทำเอาผมงง เพราะไม่เคยรู้เรื่องยาม แต่เห็นเป็นเรื่องที่เขาต้องการความช่วยเหลือ จึงโทรไปหาหมอดูที่เก่งเรื่องจับยาม หมอจับยามคนนี้เป็นเพื่อนกัน พอปรึกษาได้ ปรากฏว่าเขาไปพักผ่อนที่ภูเขียว แต่เขาก็มีน้ำใจบอกว่า ยังไม่ตายหรอกเพียงอาการสาหัส รักษาให้เหมือนเดิมยาก ผมจึงถ่ายทอดให้ทราบอีกทีหนึ่ง

ถ้าในมุมมองของโหร ตามเวลาที่เขาโทรมานั้น ผมทำอะไรไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นช่วย แต่ก็ไม่สะดวกนัก เพราะคนที่จะช่วยได้ อยู่ถึงภูเขียว และต้องโทรถึง 2 ครั้ง ที่ไม่สามารถช่วยได้เพราะจันทร์ ๒ จร 24.00 น.เวลานั้นอยู่ในเรือนวินาสน์จะเข้าทับลัคนาตอน 20.44 น.ส่วนจันทร์ ๒ รวมทั้งอาทิตย์ ๑ จรแบบ 10ลัคนาก็เข้าเรือนอริพอดี น่าคิดนะครับ ระหว่างยามกับจันทร์ ๒ จร10ลัคนา

ทีนี้หันมาเรื่องที่ไม่น่าเป็นเรื่องกันต่อ ดังที่ว่าเพื่อนผมเขาทำรีสอร์ทอยู่ที่หาดริ้น แต่ชื่อรีสอร์ทผมจำไม่ได้ เพราะชื่อคล้ายกันมากมาย และในแต่ละอ่าวมีรีสอร์ทเป็น 100 รายละเอียดอื่นที่ผมเคยทราบเมื่อนานมาแล้วก็หายหมด แต่มั่นใจว่าไปถึงคงถามหาจนพบ เพราะโบราณบอกว่าหนทางอยู่ที่ปาก ใช้ปากให้เป็นประโยชน์จะเอาตัวรอดได้ ดูพวกฝรั่งนั่นสิ ส่วนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองไทยอยู่มุมไหนของโลก แต่เขาก็มาที่เกาะเต่าเกาะนางยวนไม่ผิด

แล้วนี่ผม เป็นคนเกาะสมุยเพียวๆ 100% หาคนๆ หนึ่งบนเกาะพะงันไม่พบก็ให้มันรู้กันไป

คิดได้ดังนั้น ผมลากเป้ลงจากลานท่าเรือไปที่ลานจอดรถสองแถวแล้วเปลี่ยนสำเนียงพูดใหม่เป็นคนสมุยแท้ ทุกอย่างก็กระจ่างหมด จะเป็นการบังเอิญหรือโชคดีของผมก็ไม่ทราบได้ โชว์เฟอร์รถคันที่ผมถามจะให้ไปส่งที่หาดริ้น เมื่อไล่ชื่อและนามสกุล ก็คือลูกหลานห่างๆ ของผมคนหนึ่ง

เมื่อได้รายละเอียดเพิ่ม ผมจึงเร่งให้เขาไปส่ง เขาบอกเขาขอหาฝรั่งอีกสัก 2-3 คน เพื่อจะได้คุ้มทุน ซึ่งผมก็ไม่ว่า ขืนไปคนเดียวต้องจ่ายถึง 450 บาท รอพักหนึ่งเขาก็ได้ลูกค้าฝรั่งสาว 2 คน เมื่อรวมกับผม เราก็จ่ายกันคนละ 150 บาท

รถ 2 แถวส่งผมที่รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังติดทะเล ระหว่างทะเลกับสระน้ำของรีสอร์ท คั่นกลางด้วยหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ ที่หาดนี่เองเป็นที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ ถือว่าผมโชคดีที่ไปทันงานในคืนสุดท้าย คราวหน้ากะจะไปให้ทันคืนแรก แม้จะลงทุนแพงหน่อย

ในที่สุดผมก็ได้ห้องพักที่พะงันเบย์ชอร์ รีสอร์ท 2 เตียงนอน 2,500 พักคนเดียวได้ 2 เตียงถือว่าฟุ่มเฟือยสุดๆ แต่ไม่มีทางเลือกเพราะมีอยู่ห้องเดียว ดีกว่าไปนอนใต้ต้นหูกวางริมถนน เมื่อเสียค่าที่พักแพง ผมก็หาทางออกด้วยการกินถูกๆ หรือไม่ก็กินฟรีไปเลยถ้าใครมาเปิดช่องให้

หลังจากเช็คอินเรียบร้อย อาบน้ำนอนพักพอหายเหนื่อย จึงเดินลัดเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวแคบๆ ประมาณ 50 เมตรก็พบซันไรส์รีสอร์ท ถามหาเจ้าของซึ่งเป็นหญิงวัย 70 เศษที่เป็นทั้งญาติ และเพื่อนผมนั่นเอง

บ้านเขาอยู่ในเขตรีสอร์ท เป็นบ้าน 2 ชั้น 2 ห้องอยู่คนละห้องกับสามี เขาจำผมไม่ได้ แต่ผมจำเขาได้ วันนั้นก็เลยคุยกันนาน ในเรื่องเก่าๆ สรุปแล้ววันนั้นเขาเชิญผมไปกินข้าวมื้อเย็นพร้อมครอบครัวที่ห้องอาหารในรีสอร์ทนั่นเอง เห็นไหมครับว่าผมเป็นคนมีลาภปากไม่ค่อยขาด ดาวในดวงชะตาก็คอยเอื้ออำนวยให้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

ดูได้จากวันเริ่มเดินทาง คือวันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2554 อาทิตย์ ๑ จรขึ้นทับลัคน์ จันทร์ ๒ จรเข้าเล็งลัคน์ ค้างคืนที่ชุมพร 1 คืน พอวันที่ 19 ออกเดินทางต่อไปพักที่พะงัน จันทร์ ๒ ยังเล็งเหมือนเดิม วันที่ 20 เช้าออกจากหาดริ้นเกาะพะงันไปสมุย

จันทร์ ๒ จรเข้าเรือนมรณะตั้งแต่ตี 5 พอลงเรือฝรั่งเห็นเป็นคนแก่จึงขยับที่ให้นั่ง ต้องนั่งตากแดดจนถึงสมุย ราว 45 นาที ขึ้นเรือที่เกาะฟานหรือท่าเรือพระใหญ่ ไม่มีรถสองแถวจะไปหน้าทอน ต้องจ้างแท็กซี่ 400 ถ้วนไม่หย่อนแม้แต่บาทเดียว คิดในใจว่ารู้อย่างนี้แบกเต็นท์มาด้วยก็จะดี จะได้กางนอนริมถนนแม่งเลย

พักที่สมุย 4 คืนเพื่อเก็บภาพสถานที่ๆ ในสมัยเด็กเคยไปวิ่งเล่นจนคุ้นเคย ที่ขาดไม่ได้คือดักถ่ายอาทิตย์ตกน้ำไว้หลายสิบภาพ วางแผนว่าวันจันทร์ที่ 25 จึงค่อยเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยเส้นทางสายเดิม คือขึ้นเรือลมพระยาที่สมุยผ่านพะงันผ่านเกาะเต่าเข้าชุมพร นั่งรถวีไอพี.เข้าถนนข้าวสาร

ก็พอดีมีศิษย์ที่สุราษฎร์โทรเข้ามา เลยต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ไปสุราษฎร์แล้วขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ

ที่สุราษฎร์หรือที่บ้านดอน ผมมีศิษย์ 4 คน อยู่ในตัวเมือง 3 ที่อำเภอนาสาน 1 แต่วันนั้นได้พบเพียง 2 คนอีก 2 คนติดต่อไม่ได้ มีประหลาดอยู่คนหนึ่ง เรียนทาง ปณ.มาตั้งแต่ปี 2540 ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย เพิ่งมาพบกันปี 2554

ผมออกจากเกาะสมุยขึ้นเรือเฟอร์รี่ส์เข้าดอนสักเที่ยวเช้า จับรถทัวร์เข้าเมือง นัดศิษย์มารับที่ศาลหลักเมือง เข้าพักที่แก้วสมุยรีสอร์ท โดยการอนุเคราะห์จากศิษย์ ทั้งที่พัก ค่าอาหาร และค่าเครื่องบินกลับ แถมด้วยโปรโมชั่นพิเศษพอกเก็ตมันนี่อีก 5000

ที่ลืมไม่ได้และเป็นที่ถูกใจผมที่สุด คือมื้อค่ำและมื้อดึกที่สุราษฎร์ มื้อค่ำไปกินอาหารทะเลที่ร้านดังปากน้ำตาปี ที่ประทับใจคือกั้งเผา ปลาเผาแกล้มแบล๊กเลเบิ้ล พอรอบดึกไปจิบไวน์ฟังเพลงร้านดังของนักการเมืองที่นั่น ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำตาปีจนร้านปิด

เช้าขึ้นมาไปชิมอาหารแขก พอบ่ายไปกินฉลามผัดฉ่าล้างแค้นแก่คนที่เคยถูกฉลามกัด ในคลองบางใบไม้ เป็นมื้ออำลาขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ

เกือบตลอดการเดินทาง ดาวจันทร์ ๒ จรเป็นตัวชี้นำว่าดีหรือไม่ดี สะดวกหรือไม่สะดวก มีลาภหรือขัดลาภ ศิษย์ของผมคนที่เป็นเจ้าภาพหลัก ลัคนาราศีเดียวกันคือราศีเมษ ถ้าดวงผมดี ดวงเขาก็ดี

ดังนั้นระหว่างโซ้ยฉลามผัดฉ่ามื้อสุดท้ายขณะที่จันทร์ ๒ จรเข้าราศีมังกรเป็น 10 แก่ลัคนา ได้เกณฑ์ปัศว เขาขายบ้านเงินสดราคา 2 ล้านได้ ในระหว่างที่ขับรถให้ผมไป เก็บของเตรียมไปขึ้นเครื่อง เพราะเขาคือสุภาพสตรีเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรที่มีชื่อของสุราษฎร์เมืองคนดี

เดี่ยวการเดินทาง 3 
เณร อยู่นาน....เขียน

เรื่องที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับวิชาการโหราศาสตร์แม้แต่เพียงน้อยนิด เพียงคนเขียน เป็นคนที่พอมีความรู้โหราศาสตร์บ้างเท่านั้น แต่เหตุที่นำมาเขียนเล่าสู่กันฟัง เป็นเพราะว่าผมต้องการจะอัพเดทเว็ปของตนเองให้กับขาประจำได้อ่านเพื่อคลายเครียด

ถ้าบังเอิญมีท่านผู้อ่านที่ไม่เครียด และเคยติดตามอ่านกันมา จะอ่านเล่น ก็ไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด

ผมจะขอเริ่มต้นตรงที่ว่าในทุกวันจันทร์ เป็นวันพักผ่อนของผม ที่ว่าเป็นวันพักผ่อน ความจริงผมก็พักของผมทุกวันอยู่แล้ว ถ้าอยากจะพัก แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ คือเป็นวันหยุดงานของคนในบ้าน มีคนเฝ้าบ้านแทน

ดังนั้นผมจะไปไหนมาไหนข้ามวันข้ามคืน ไม่มีใครว่า แต่เช้าวันอังคารต้องกลับบ้าน ถ้ากลับไม่ได้ด้วยเหตุที่ไปไกลเกินไป คือไปตกรถอยู่ต่างจังหวัด ก็ต้องหาคนมาแทน ถ้ามีคนแทนผมก็อาจจะไปยาว จนกว่าจะหมดเงิน จึงกลับ ถ้าไม่มีคนมาแทน จะกลับสายวันอังคารหน่อยก็ไม่เป็นไร

อย่างในคราวนี้ไม่มีคนแทน ผมจึงไปไกลนักไม่ได้ เลยวางโปรแกรมว่าจะไปแค่ท่าเตียน ท่าเตียนนี่อยู่ฝั่งกรุงเทพฯ ด้านเหนือติดกับท่าราชวรดิษฐ์ ด้านใต้ติดกับปากคลองตลาด ถ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปอีกฝั่งจะเป็นวัดอรุณอมรินทร์ หรือเรียกตามภาษาชาวบ้านว่าวัดแจ้ง

ที่เรียกว่าวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ นี่น่าจะมาจากว่าสมัยนั้น คงไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นสูงเท่าเจดีย์วัดอรุณ ดังนั้นพอรุ่งอรุณหรือสว่าง จะเห็นแสงอาทิตย์ส่องมาจับเจดีย์ก่อนสิ่งอื่น และอาทิตย์ก็จะลับหลังเจดีย์ ยามที่อาทิตย์อยู่ในตำแหน่งกำลังจะลับขอบฟ้าตะวันตก จึงเป็นจุดงดงามที่สุดของคนรักธรรมชาติ

อีกด้านหนึ่งของท่าเตียน คือทิศตะวันออก ถูกขนาบด้วยวัดโพธิ์ ส่วนตะวันตกมีวัดอรุณอรินทร์ โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาคั่นกลางระหว่างท่าเตียนกับวัดอรุณฯอีกทอดหนึ่ง วัดทั้ง 2 มีเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือต่างก็มียักษ์เป็นผู้ดูแลพื้นที่ของใครของมัน

ตอนผมวัยรุ่น เคยมีคนเขาเอามาเขียนเป็นเพลงว่ายักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งหรือวัดอรุณมีข้อขัดแย้งกัน ส่วนจะขัดแย้งเรื่องอะไรไม่ได้บอกละเอียด แต่ผมคิดว่าน่าจะมาจากการแย่งพื้นที่ ๆ เป็นบริเวณท่าเตียนนั่นเอง

ที่ตรงนี้แต่เดิมเป็นป่าโกงกางแซมด้วยป่าจากเป็นหย่อม ๆ ไปจนยันปากคลองตลาด เป็นที่สวยแปลงหนึ่ง ถ้าใครได้ครอบครองแล้วสร้างรีสอร์ท ให้ฝรั่งเช่านวดแก้เมื่อย น่าจะเป็นขุมทรัพย์ระดับห้าดาว

ยักษ์วัดอรุณคงคิดเหมือนผมคิด จึงวางแผนฮุบมาเป็นของตนเอง ซึ่งความจริงที่ดินแปลงนี้น่าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของยักษ์วัดโพธิ์เพราะอยู่ติดกับวัด เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีหลักฐานเอกสารสิทธ์ ประกอบกับยักษ์วัดแจ้งไม่มีที่ดิน จึงรวบรัดจะเอาเป็นของตนเอง ด้วยการแอบลงเรือข้ามฟากไปสำรวจอย่างลับ ๆ มาแล้วหลายเที่ยว ยักษ์วัดโพธิ์ทราบเรื่องดี แต่ไม่ยอม เพราะถือว่ามากระตุกหนวดเสือถึงปากถ้ำ

ด้วยประการฉะนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงต้องรบกัน อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อยึดครองทำเลทอง อีกฝ่ายเพื่อป้องกันศักดิ์ศรี ในเนื้อเพลงไม่ได้บอกว่ารบกันกี่ร้อยเพลง ใครแพ้ใครชนะ รู้แต่เพียงว่ารบกันจนป่าทั้งป่าเตียนโล่งไปหมด ถ้าสมัยนี้รับรองว่า 2 ยักษ์ต้องโดนข้อหาบุกรุกป่าชายเลนอย่างแน่นอน

ครับ คนอย่างผม ถ้าทำอะไรให้ดูดีเหมือนคนอื่น ก็ไม่ใช่ผม

ดังนั้นการจะเดินทางไปท่าเตียน จากการเคหะร่มเกล้าก็ไม่ใช่จะยากเย็นอะไร เพียงนั่งรถตู้ไปลงบางกะปิ แล้วต่อรถประจำทางสาย 12 ไปลงปากคลองตลาดก็จบ

แต่นี่ผมออกจากร่มเกล้าไปสถานีรถไฟ แอร์พอร์ทลิ้งค์ ลาดกระบัง นั่งรถไฟแอร์พอร์ทลิ้งค์เข้าเมือง เพื่อจะได้เป็นคนรุ่นใหม่

ความจริง ที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามรถแอร์พอร์ทลิ้งค์ นั้น มีอยู่ 2 ขบวน ขบวนธรรมดาแวะทุกสถานี ค่าตั๋วประมาณ 40 บาท แต่รถแอร์พอร์ทลิ้งค์จริง ไม่แวะข้างทาง ออกจากพญาไทหรือมักกะสัน มีปลายทางที่สนามบินสุวรรณภูมิสถานีเดียว ค่าตั๋วประมาณ 90 บาท

วันนั้นผมตีตั๋วไปลงแถว ๆ เพชรบุรีหรือแถวอโศกนี่แหละ ผมจำชื่อสถานีไม่ได้ จากนั้นจึงต่อรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงสถานีสีลมหน้าโรงแรมดุสิตธานี เดินชมวิวอยู่บนถนนสีลมพักหนึ่ง แล้วแว้บเข้าไปในห้างเซ็นทรัล กะว่าจะหาอะไรกินรองท้องหน่อยแล้วค่อยเดินต่อ ก็ไม่พบอะไรน่ากิน

จึงเดินไปตามถนนสีลมเรื่อย ๆ สังเกตุดูสองฟากถนน เริ่มจะมีผู้คนเดินกันขวักไขว่หนาตามากขึ้น บางกลุ่มแต่งตัวดูดีหน้านวล น่าจะเป็นพวกที่เพิ่งออกมาจากห้องแอร์ เพื่อกลับบ้าน ส่วนอีกพวกที่ดูมอมแมมกร้านแดดหน้าเป็นมันวับ กำลังเข็นรถบรรทุกสัมภาระโต๊ะเก้าอี้ คงจะเป็นเจ้าของกิจการหรือนายห้างตัวจริง ที่สร้างสีสันให้กับถนนสีลมยามค่ำคืน

ผมเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปสักพัก ก็พบคูหาเล็ก ๆ แต่ดูสะอาด หน้าร้านมีตู้กระจกแขวนไก่เหลืองอ๋อยอยู่ครึ่งตัว มีข้อความกำกับที่ตู้กระจกว่าไก่อบสมุนไพร 40 หลังตู้มีซิ้มแก่ ๆ กับเด็กสาววัยรุ่นนั่งอยู่ น่าจะเป็นแม่กับลูกสาว มองเข้าไปข้างในเห็นคนนั่งอยู่เกือบเต็มร้าน ผมจึงผลักบานประตูก้าวเข้าไปเพิ่มจำนวนลูกค้าอีกคน สั่งข้าวไก่อบสมุนไพร 1 จานพร้อมน้ำดื่มอีก 1 ขวด

หลังจากข้าวไก่อบสมุนไพรหมดไปครึ่งจาน กำลังวังชาดีขึ้น จึงจ่ายเงินแล้วออกเดินต่อ ที่เหลืออีกครึ่งปล่อยให้เป็นหน้าที่ของร้านจัดการ เหลือบดูนาฬิกา ยังเหลือเวลาพอสำหรับจะไปให้ทัน ชมอาทิตย์ตกดินหลังเจดีย์วัดอรุณอมรินทร์ ท่าเตียน

เดี่ยวการเดินทาง 4
โดย เณร อยู่นาน....เขียน

เติมพลังด้วยข้าวไก่อบสมุนไพรเพียงครึ่งจาน สำหรับผมเป็นการเพียงพอ จากนั้นก็ออกจากร้านข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนน เห็นคนไม่หนาแน่น การเดินชมนกชมไม้น่าจะสะดวกขึ้น ไม่ต้องเกรงว่าจะชนกับใคร

การเดินเล่นบนถนนสีลมยามใกล้ค่ำ ดูแล้วมีสีสันไม่น้อย อย่างน้อยก็พอเก็บเอามาทบทวนความทรงจำเก่า ๆ สมัยที่ผมยังทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทฝรั่งแถวสาธร สมัยนั้นการเดินจากหน้าโรงแรมดุสิตธานี ไปวัดแขก แล้วเลี้ยวซ้ายออกถนนสาธรเหนือ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับผม

แต่ในยามที่อายุกำลังพุ่งเข้าหลัก 75 อีกไม่กี่เดือน ผมชักไม่แน่ใจว่าจะสามารถเดินไปถึงท่าเรือโอเรียลเต็ล ถนนเจริญกรุง เพื่อขึ้นเรือด่วนไปท่าเตียนได้หรือไม่

เวลาผ่านไปเท่าไร ผมไม่ได้ใส่ใจ ก้าวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อนคู่กายคือไม้เท้าในมือคอยทำหน้าที่พยุงไม่ให้ล้ม แกว่งไปตามจังหวะก้าวเท้า แสงตะวันที่ทาบบนยอดตึกอ่อนล้าลงไปทุกที นั่นหมายถึงความตั้งใจจะไปให้ทันอาทิตย์ตกหลังเจดีย์วัดอรุณ เริ่มเลือนรางออกไปด้วย คิดในใจว่าถ้าไม่ทันก็ค่อยหาโอกาสใหม่ แต่อย่างน้อย ให้ทันภาพเจดีย์สีทองอร่ามในตอนค่ำคืน ก็ไม่เสียแรงเปล่า

ผ่านห้างเซ็นทรัลสีลมเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นห้างบิ๊กซีหรือท้อป ไม่แน่ใจ ผมแวะเข้าไปใช้บริการห้องน้ำ ออกมา เห็นร้านขายยา จึงเข้าไปซื้อเคาว์เตอร์เพนหลอดเล็กออกมานั่งนวดข้อเท้าบนเก้าอี้ว่างหน้าร้านขายเครื่องดื่ม เป็นการพักยก

ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อมองออกไปข้างนอก เห็นแสงสุดท้ายอาทิตย์แม้จะลดความเจิดจ้าลงบ้าง จึงลุกขึ้น เดินออกมานอกอาคาร เร่งฝีเท้าต่อ สักพักหนึ่งผมก็ออกมายืนอยู่บนฟุตบาทถนนเจริญกรุง เลี้ยวขวาไปไม่ไกล เห็นโรงเรียนอัสสัมชันสูงทมึนอยู่บนฝั่งซ้ายของถนน ทำให้ความหวังฟูขึ้นมา

เดิมโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในซอยหรือที่เราเรียกกันตรอกโอเรียลเต็ล แต่ปัจจุบันกินพื้นที่มาจนจรดถนนเจริญกรุงด้านอก ผมข้ามถนนแล้วเดินเข้าซอยข้างโรงเรียน ลึกเข้าไปประมาณ 300 เมตรก็ถึงท่าเรือที่จะลงเรือข้ามไปท่าเตียน

นั่งรออยู่บนโป๊ะท่าเรือไม่นาน เรือด่วนท่าน้ำนนทบุรี – วัดราชสิงขรเข้าเทียบ ผมกระโดดขึ้นไปยืนท้ายเรือราวกับวัยรุ่น เกาะราวเหล็กยืนดูผู้โดยสารอื่นที่มีทั้งขึ้นทั้งลง ตั้งใจว่าจะยืนชมวิวถ่ายภาพอยู่ท้ายเรือน่าจะดีกว่าเข้าไปนั่งข้างใน

เรือออกจากท่าโอเรียนเต็ล แวะท่าสี่พระยา กรมเจ้าท่า ราชวงศ์ ปากคลอง และอีก 2–3 ท่าที่ผมจำไม่ได้ ใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดก็เข้าเทียบท่าเตียนอันเป็นท่าปลายทางที่ตั้งใจเอาไว้

ผมก้าวขึ้นจากเรือด้วยความโล่งอก หันมองไปทางเจดีย์ ลำแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทาบก้อนเมฆด้านหลังเจดีย์ เริ่มเป็นสีทอง ซึ่งหมายถึงว่าอีกไม่นานเกินรอจะกลายเป็นสีส้มเพื่อเป็นฉากหลังให้ตัวเจดีย์โดดเด่นขึ้น

จากโป๊ะเทียบเรือเดินไปตามสะพานไม้คร่ำคร่าที่แกว่งไปตามแรงคลื่น ทอดยาวไปสู่ฝั่ง มองขึ้นไปเห็นห้องแถวไม้เก่า ๆ ชั้นล่างมีป้ายบอกว่าเป็นร้านอาหาร แต่ไม่เห็นโต๊ะวางไว้เหมือนร้านอาหารทั่วไป ชั้นบนมีฝรั่งนั่งกันอยู่ 2-3 คน คิดในใจว่าร้านอาหารน่าจะเปิดบริการอยู่ชั้นบน เพราะเป็นตำแหน่งที่เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำกับเจดีย์

ผมเข้าไปในร้าน ถามหญิงวัยกลางคนผอมเกร็ง ที่นั่งอยู่หลังเคาวน์เตอร์ เธอบอกว่า เธอเปิดบริการอยู่ชั้นบน ผมจึงเดินลึกเข้าไปในร้าน ขึ้นบันไดไปข้างบน พลันกลิ่นอับชื้นในร้านผสมกับกลิ่นห้องน้ำ ที่น่าจะไม่ได้รับการเอาใจมาแรมปี โชยเข้าจมูกฉุนกึก

ทว่าพอถึงชั้นบนได้สัมผัสกับลมเย็นจากแม่เจ้าพระยา จึงทำให้สดชื่นขึ้นบ้าง

ในระหว่างที่รอม่านฟ้าหลังของเจดีย์เป็นสีส้ม ผมสั่งเบียร์เย็น ๆ มาเป็นรางวัลให้กับตัวเองขวดหนึ่ง ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจนถึงที่ ๆ ต้องการ และทันเวลาดี ๆ ช่วงสุดท้ายของชีวิต

หลังจากจิบเบียร์เย็นครึ่งแก้ว ผมหยิบกล้องคู่ชีวิตออกมาตั้งโปรแกรมตามต้องการ แล้วลั่นชัตเตอร์ โดยมีหน้ากล้องจับอยู่ที่เจดีย์วัดอรุณอมรินทร์ เกือบ10 ภาพ ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามสูตรของคนมือใหม่ป้องกันความผิดพลาด และเพื่อจะได้คัดเลือกภาพที่ดีที่สุด

นั่งดูอาทิตย์ลับฟ้าอยู่ที่ร้านอาหาร จนฟ้าทีทองลับหายไป มีม่านมืดสีดำเข้ามาแทน ทีละน้อยพร้อม ๆ กับที่เจดีย์เริ่มกลายเป็นสีทองอร่ามขึ้นมาจากแสงไฟรอบเจดีย์สาดส่อง

ผมตัดสินใจหามุมมองใหม่เพื่อถ่ายภาพอันงดงามไว้ดูเล่น ด้วยการลงมาจากชั้นบน แล้วเดินออกมาที่ปากซอย สอบถามคนแถวนั้นถึงอีกสถานที่หนึ่งคือ Sala Arun ทราบว่าเป็นห้องพักเล็ก ๆ ที่นำเอาห้องแถวเก่าแก่ มาดัดแปลง เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ชมแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนของคนรักธรรมชาติ

ได้รับคำแนะนำว่าอยู่ถัดไปอีกซอยหนึ่ง จึงเดินต่อ เห็นไฟสีส้มสว่างไสวอยู่ก้นซอย จึงเดินแกว่งไม่เท้าเข้าไป หน้าร้านตบแต่งดูโรแมนติคดี ผมจึงผลักประตูกระจกเข้าไป ถามเด็กหน้าตาน่าเอ็ดดูที่นั่งอยู่หลังเคาวน์เตอร์ ว่าที่นี่มีมุมถ่ายภาพสวย ๆ ไหม? เด็กบอกว่าถ้าจะถ่ายภาพให้สวย ให้เลยไปอีกซอยชื่อ Arun Resident

ผมจึงกล่าวขอบคุณ แต่เด็กก็ยังมีน้ำใจส่งรายการค่าห้องพักให้ติดมือมาชุดหนึ่ง ผมพลิกดูราคาค่าห้องพักท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ ริมทางเดิน มีชื่อห้องเรียกเพราะพริ้งน่านอน เช่น Ayudhya,Chiangsan, Krungthep,Lanna Srivichai,Sukhothai,Sala Suite ห้องพักเตียงคู่ทั้งหมด ห้องสุดท้าย 5600 นอกนั้น 3500

ที่ Arun Resident น่าจะมีห้องพักเช่นกัน แต่ผมไม่ถาม คิดเอาว่าไม่น่าจะต่างกับ Sala Arun สักเท่าไร เพราะเจ้าของคนเดียวกัน ร้านแต่งสไตล์เดียวกัน ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร คนแน่ ผมขึ้นไปชั้น 2 คนแน่นอีกเช่นกัน เลยขึ้นบันไดเวียนไปชั้นบนสุด ชื่อ The Deck เห็นทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาและเจดีย์ตอนกลางคืนเป็นสีทองอร่ามราวกับฉาบด้วยทองคำ

ชั้นนี้มีลูกค้าทั้งไทยและเทศ แต่ก็พอมีที่ว่างสำหรับผม ผมเลือกเอาที่เหมาะเพื่อจะได้จับภาพสีทองของเจดีย์ ที่ด้านหลังทาบทะมึนด้วยความมืด ด้านหน้าสีทองแพรวพราวระยิบบนผิวน้ำ นานๆ จึงจะมีเรือท่องเที่ยวบรรทุกผู้โดยสารเต็มลำแล่นช้า ๆ ผ่านมา เสริมให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผมเก็บภาพไว้มากพอสมควร นั่งปล่อยอารมณ์ชมระลอกคลื่นล้อเล่นแสงไฟอยู่นาน จนคนในร้านบางตา จึงเช็คบิลแล้วกลับออกมาเกือบจะเป็นรายสุดท้าย

คืนนั้นผมจิบไวน์ไป 2 แก้ว ในราคาเท่ากับที่ผมซื้อเอง 1 ขวด แกล้มด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เพื่อกันบ๋อยไล่ออกจากร้าน

หลังจากทุกอย่างบรรลุเป้าหมาย ผมจึงออกมานอกถนนใหญ่ คิดในใจว่ากรุงเทพยามราตรีมีมนต์เสน่ห์กว่ากลางวันอย่างเทียบกันไม่ติด หากฟ้าดินไม่ใจดำจนเกินไปโอกาสหน้าคงได้ย้อนกลับมานอนคืนละ 3500 หรือ 6500 สักครั้ง ก่อนจะสิ้นเสียงระฆังยกสุดท้ายของชีวิต

หมายเหตุ: เพื่อเก็บรักษาและเผยแพร่บทความ ที่อาจารย์ได้เคยเขียนไว้ เนื่องจาก เวลานี้ Website: www.10luckastro.com ของอาจารย์ได้หายไปแล้ว ศิษย์รุ่นหลังๆ จะได้มีตัวอย่างดวงไว้ศึกษาหาความรู้