ข้อเขียนที่ท่านผู้อ่านของผมจะได้อ่านต่อไปนี้ จะเป็นข้อเขียนที่จัดเข้าอยู่ในหมู่ข้อเขียนทางวิชาการโหราศาสตร์หรือไม่ ผมไม่แน่ใจนัก พยายามเข้าข้างตัวเองและเข้าข้างคนอ่านแบบครึ่งต่อครึ่งแล้ว ก็ยังลังเล ตัดสินใจไม่ได้เด็ดขาด
จึงเพื่อให้หมดปัญหาในประเด็นเป็นหลักวิชาการทางโหร หรือเป็นเรื่องอ่านเล่นประโลมโลกย์ ผมจึงตัดสินใจวัดดวงตัวเอง ด้วยการส่งมาให้โหราเวสม์พิจารณา ถ้าโหราเวสม์อันเป็นนิตยสารทางโหราศาสตร์ลงให้ ก็ถือว่ามีส่วนเป็นบทความทางโหราศาสตร์บ้างถึงแม้ไม่หมดทั้งดุ้น แต่ถ้าไม่ได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ ก็ฟันธงยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องนอกเรื่องหรือนอกไลน์ ควรจะไปหาที่ลงที่อื่น
อันที่จริงเรื่องการเดินทาง ในวิชาการโหราศาสตร์เขามีข้อจำกัดไว้ว่า ถ้าพระอาทิตย์ ๑ จรมาทับลัคนา หรือเล็งลัคนาเมื่อใด เมื่อนั้นจะมีการเดินทางเกิดขึ้น อย่างในขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ พระอาทิตย์ ๑ โคจรเข้าราศีเมษซึ่งเป็นราศีธาตุไฟชั้นหนึ่งเกือบกลางราศี
ดังนั้นคนราศีเมษ กับคนราศีตุลย์ ไม่ว่าหญิงหรือชาย ที่ถูกอาทิตย์ ๑ ทับและเล็งจะต้องมีการเดินทางไกลบ้างใกล้บ้างในระหว่างนี้แน่นอน คนราศีอื่นก็มีบ้างแต่ไม่เท่าคน 2 ราศีดังกล่าว ยิ่งถ้าเป็นอาทิตย์ ๑ เป็นกาลีจรทางทักษา ยิ่งจะมีแรงกระตุ้นต่อมความร้อนที่อยู่ได้มากขึ้น
ในมุมมองอีกมุมหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่มุมมองเดียวกับคนที่เรียนโหราศาสตร์ การเดินทาง ก็คือการเดินทาง คือการต้องออกจากบ้านที่เคยอยู่ชั่วคราวไปที่อื่น บางรายรับแรงเอื้อมจากอาทิตย์ ๑ ไม่แรง ก็แค่อยู่ไม่ติดบ้าน ชอบไปโน่นไปนี่ ไปดูหนังฟังเพลง ช้อบปิ้ง แล้วกลับบ้าน เช้าขึ้นมาก็หาเรื่อง หรือหาเหตุออกจากบ้านใหม่จนไม่มีที่จะไป หรือเงินในกระเป๋าหมดจึงหยุด
ผมจึงมองว่าการเดินทางมีความแตกต่างหลากหลายเหลือคณานับ เช่นไปเยี่ยมญาติ ไปทวงหนี้ เดินทางกลับบ้านไปรับมรดก หรือเดินทางไปรับตำแหน่งงาน แบบนี้ถือว่าไปดี ถ้าตำแหน่งงานนั้น เป็นตำแหน่งที่ดีกว่าตำแหน่งเดิม การเดินทางแบบนี้พฤหัสบดี ๕จร ต้องดีด้วย
ถ้าแย่กว่าเดิม เช่นเดินทางไปรับตำแหน่ง 3 จังหวัดภาคใต้ ถึงตำแหน่งดีกว่าเดิม แต่เสี่ยงตายสูง อาจไปชนกับระเบิดตายก็เป็นได้ หรือไปในที่ๆ เราไม่ต้องการไป ถือว่าเป็นการเดินทางไปไม่ดี การเดินทางเช่นนี้ โดยมาก พฤหัสบดี ๕ จรไม่ดีกับลัคนา หรือเป็นกาลีจร หรือมีเสาร์ ๗ หรือราหู ๘ จรมาทับลัคน์เล็งลัคน์
การเดินทางอีกประเภทหนึ่ง คือไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไม่ค่อยมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน เรียกว่าค่ำไหนนอนนั่น นึกอยากจะอยู่ๆ นึกอยากจะไปๆ ที่ไหนชอบอยู่นานหน่อย ไม่ชอบก็อยู่สั้นหน่อย การเดินทางลักษณะนี้คล้ายการท่องเที่ยว ต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ที่ถ้าเป็นการท่องเที่ยวจริง เขาจะไปที่ๆ เขาชอบและอยากจะไป ทั้งยังวางโปรแกรมไว้แน่นอน จองตั๋วเดินทางจองที่พักไว้เรียบร้อย
แต่การเดินทางของคนที่มีลัคนาสถิตราศีเมษ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายนที่ผ่าน ถ้าจะจัดเข้ากลุ่มเดินทาง น่าจะอยู่ในกลุ่มร่อนเร่พเนจรได้ทีเดียว
คือเริ่มที่สะพายเป้เล็กๆ บนบ่า ซึ่งมีเสื้อยืดดำ 2 ตัว กางเกงขาสั้น 3 ตัวสนับรวมข้อเท้ากันปวดข้อ 1 คู่ ผ้าขาวม้า 1 ไม้เท้า 1 กล้องถ่ายรูป 1 มีดเดินป่า 1 หมวกกันแดด 1 ขวดน้ำเสียบข้างเป้อีก 1 ที่สำคัญคือ ไดอารี่โหรปี 2554 ของ อ. ทองเจืออ่างแก้ว 1 เล่มพร้อมเงินติดตัวอีกเล็กน้อย
นอกจากนั้นเป็นถุงยังชีพที่สำคัญ ไปไหนขาดไม่ได้ และปกติก็วางไว้หัวนอน คือยาประมาณว่า 10 ขนาน อาทิเช่น ยาแก้ปวดแก้ไข้ ยาลดยูริด ลดความดัน ควบคุมไขมันในเส้นเลือด ละลายลิ่มเลือดในหัวใจ ยาแก้ท้องเสีย ยาหม่อง เคาน์เต้อร์เพน ยาแก้ปวดหลังชนิดสเปรย์ เบตาดีน รักษาแผลสด และสุดท้ายแก้ เก๊าอักเสบรุนแรง
ก่อนออกเดินทางตอนเช้าผมพลิกดูดาวจรประจำวัน เห็นอาทิตย์ ๑ จรอยู่ในราศีเมษ 4 องศา จันทร์ ๒ จรเข้าราศี ตุลย์ ประมาณ 3 องศา จึงแน่ใจว่าการเดินทางเที่ยวนี้ เป็นการเดินทางที่ไม่น่าจะมีเหตุร้ายอะไร สมควรแก่การจะมีโชคลาภประการเดียว
แต่ความราบรื่นทั้งปวงมลายหายสิ้นเมื่อเวลา 08.28 น.คือก่อนหน้านั้นผมได้เรียกแท้กซี่ให้ไปส่งสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ พอไปได้สักพัก พระจันทร์ ๒ จรแบบ10ลัคนา จรเข้าราศีพิจิกเรือนมรณะกับราศีเมษ อันเป็นที่สถิตตัวตนของผม
ทำให้บนถนนที่รถผมต้องผ่าน มีรถของใครต่อใครไม่รู้ หลากสี เก่าบ้าง ใหม่บ้าง แออัดยัดเยียดอยู่บนถนนเต็มไปหมด กะดูด้วยตารถที่มีราคาต่ำกว่า 1 ล้านลงมามากหน่อย ที่ 2-3 ล้านขึ้นไปไม่ค่อยมาก ทำให้ผมมีไอเดียร์วูบหนึ่งขึ้นมาว่า การแก้การติดขัดการจราจรบนถนนไม่ใช่เป็นของยากอีกต่อไป
คือใครซื้อรถมาจะใหม่หรือเก่าราคาเท่าไรไม่สน เวลาไปตีทะเบียนหรือโอน ให้เสียภาษีเท่าราคาซื้อมา เท่านี้รถก็จะลดจำนวนลงไปโดยอัตโนมัติ ครับ นี่คือความคิดที่ไม่ห้ามการลอกเลียนแบบ กระทรวงคมนาคมหรือกรมการขนส่งเอาไปใช้ได้เลย
เป็นอันว่าวันนั้นการเดินทางจากบ้านร่มเกล้าไปขนส่งสายใต้ใหม่ ใช้เวลาเท่ากับไปเพชรบุรี ค่าแท้กซี่เกือบเท่ากับรถ วีไอพี. ไปชุมพร คือเกือบ 400 บาท
เมื่อไปถึงขนส่งใหม่ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหน ระหว่างประจวบฯกับชุมพร จึงเดินลากเป้ไปเรื่อยๆ ดูรายการรถออก พอดีไปพบโชคอนันท์ทัวร์ เป็นรถวีไอพี.ไปชุมพร 400 บาทจึงตัดสินใจซื้อตั๋ว พอซื้อตั๋วเสร็จท้องหิว จึงแวะร้านขายข้าวแกงปักษ์ใต้ กินข้าวแกงไปจานหนึ่ง แล้วออกเดินวนไปวนมาในชานชลา เพื่อหาที่นั่งพักขาเหมาะๆ
พอดีมองเห็นที่นั่งว่างที่หนึ่ง จึงเข้าไปนั่ง ถัดจากเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งมีโต๊ะเล็กๆ ขวางอยู่ อีกฝั่งมีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่คนหนึ่ง กะว่าวัย 60 กว่า เธอทักผมก่อนอย่างคนมีน้ำใจ ว่า... สวัสดีค่ะ จะดูดวงหรือลายมือคะ... เอาล่ะซิ เจอตอเข้าแล้ว ผมนึกในใจ จะลุกขึ้นย้ายที่นั่งไปที่อื่นก็กลัวเสียศักดิ์ศรี จะหาว่าคนน่ารักอย่างผมไม่มีค่าครู ครั้นจะดูก็ไม่รู้จะดูกันไปทำไม เพราะดูตัวเองอยู่ทุกวันจนแทบจะรู้ทุกรูขุมขนอยู่แล้ว จึงยิ้มกับเธอแล้วบอกว่าขอดูลายมือก็แล้วกันราคาถูกดี แค่ 49 บาท ทายผิดก็ไม่เสียดายเงิน ครับวรรคท้ายนี้ผมแค่คิด ไม่ได้พูดออกไป กลัวจะเป็นเรื่อง
ผมจึงแบบมือซ้ายแล้วยื่นให้เธอดู เริ่มต้นกันที่เส้นวาสนา เธอว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้ล้วนหรู ๆ ฟังแล้วเคลิ้มไปเหมือนกัน ดูเธอก็น่าจะเป็นมือชั้นเซียนคนหนึ่ง คือทายให้ถูกใจไว้ก่อน ส่วนถูกเรื่องหรือไม่เอาไว้ทีหลัง ผมได้แต่ยิ้ม ๆ พยักหน้ารับ คิดว่าจะผิดหรือถูกก็เป็นคำพูดที่เป็นมงคลประจำวันนั้น เธอพูดอยู่เส้นเดียววนไปวนมา ไม่ย้ายไปเส้นอื่น คิดในใจว่าราคา 49 บาท ที่ขึ้นป้ายไว้น่าจะคิดเป็นรายเส้น คือถ้าดู 2 เส้นก็ 98 บาท 3 เส้น 147 บาท 4 เส้นก็ 196 บาท ดู 10 เส้นก็ 490 บาท
ทำให้ผมได้ความคิดใหม่ว่า กลับบ้านไปจะทำบ้าง คือใครจะมาดูดวงกับผม จะคิดค่าดูเป็นรายราศีหรือเรือนละ 100 บาท 12 ราศีหรือ 12 เรือนชะตา 1200 เรือนทักษาอีก 8 เรือน 800 รวม 2000 พอดี นี่ยังไม่รวมค่าทายจรอีกดาวละ 100 เบ็ดเสร็จ 3000 บาท ถ้าทำได้แบบนี้ไม่รวยเละก็ให้มันรู้เรื่องไป
หลังจากนั่งให้เธอทายไปสักพักพอหายเมื่อยขา ผมลุกขึ้นล้วงกระเป๋าหยิบเงินใบละ 100 ส่งให้ เธอส่งให้เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้กันและให้ทอนผม ผมจึงบอกว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยกให้ทั้งหมด เพราะผมก็เป็นโหรเหมือนกัน ต้องมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมอาชีพ เธอกล่าวขอบคุณผม ผมจึงถือไม้เท้าอันโปรดเขยกต่อไป เพื่อรอเวลารถออก นึกในใจว่าดีนะที่เธอไม่ยกยอปอปั้นว่าถ้าผมลงเลือกตั้งเที่ยวนี้จะได้เป็นนายกแทนท่านอภิสิทธ์
วันนั้นเป็นอันว่าผมจับรถ กรุงเทพฯ-ชุมพร เที่ยว10.30 น.ถ้าผมจำไม่ผิด ไปถึงชุมพรเกือบจะ 6 โมงเย็น เร็วหรือช้าผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้ไปชุมพรมาเกือบ 10 ปีเศษ เมื่อลงจากรถทัวร์ จึงจับรถมอไซค์รับจ้างให้ไปส่งโรงแรมที่ดีที่สุดถูกที่สุดของชุมพร และต้องใกล้ท่าเรือที่จะไปท่ายาง เพื่อขึ้นเรือลมพระยาไปเกาะสมุย คือ เรือจะผ่านเกาะนางยวน เกาะเต่า เกาะพะงัน เกาะสมุย ดอนสักตามลำดับ ผมหมายตาไว้ว่าจะไปฝึกถ่ายภาพที่นั่น จะได้เป็นช่างภาพมือดีตอนแก่กับเขาสักคน
ในที่สุดผมก็ได้โรงแรมที่ต้องการ คือโรงแรมท่ายางริมแม่น้ำชุมพร ค่าที่พัก 250 บาทต่อคืน เป็นห้องแอร์ เสียอย่างเดียวไม่มีห้องกาแฟ และห้องอาหาร ต้องไปหากินร้านอาหารข้างนอก ซึ่งมีอยู่ร้านหนึ่งที่ดูดี แต่ห่างจากโรงแรมไปสัก 1 กิโล ไม่มีรถประจำทาง ต้องเดินไปเอง เดินกลางคืนค่ำมืดในที่ๆ ไม่เคยไปแถมค่อนข้างเปลี่ยว ไฟริมถนนก็ไม่มี ฝนกำลังตกพรำ นานๆ จะมีรถผ่านมาสักคัน
ผมคิดระหว่างยอมเสี่ยงไปตายดาบหน้า ไปร้านอาหาร กับเอาน้ำลูบท้องแทนมื้อเย็น อย่างไหนจะดีกว่ากัน คนเฝ้าโรงแรมเห็นผมมีสีหน้าลังเลจึงอาสาขับมอไซค์ไปส่ง จึงรอดจากอดข้าวไปหวุดหวิด เขาส่งผมที่ร้านอาหารแล้วกลับโรงแรม โดยให้เบอร์โทรเอาไว้ว่าจะกลับให้โทรเรียกเขาจะมารับ ดูเขาเป็นห่วงเป็นใยผมค่อนข้างดี ก็ไม่ดูแลอย่างดีได้ไง เพราะคืนนั้นแขกผู้มีเกียรติของโรงแรม มีผมคนเดียว ห้องทุกห้องมืดมิดราวกับนอนในป่าช้า ทำเอาผมต้องนอนเผาบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าจนหลับ
เป็นอันว่าอาหารมื้อค่ำวันนั้น ผมตะกละกินคนเดียวมีเบียร์เย็นปลอบใจ 1 ขวด รวมแล้ว 400 บาท พออิ่มจึงเรียกเด็กมาถามว่าใครขับมอไซค์ได้ จะให้ไปส่งที่โรงแรม โชคดีได้บ๋อยร้านอาหารไปส่ง ผมเลยให้ค่าทิปไป 40 บาท เกรงใจคนเฝ้าโรงแรมจึงหาทางกลับเอง รับรองคืนนั้น ถ้าผมได้เบียร์ปลอบใจสัก 3-4 ขวด บ๋อยร้านอาหารคงไม่ได้เงินผมหรอก
ในตอนช้ามืดมีรถกระบะมารับเพื่อไปดักขึ้นรถวีไอพี ของลมพระยาทัวร์ที่ออกจากกรุงเทพฯ ในตัวเมืองชุมพร เพื่อไปขึ้นเรืออีกทอดหนึ่ง ปกติเขาจะไปส่งที่ท่าเรือเลย แต่วันนั้นแขกโรงแรมมีผมคนเดียวไม่คุ้มค่าน้ำมัน ค่าเรือไปเกาะพะงัน 1,200 หรือ 1,500 ผมจำได้ไม่แน่นักเพราะโรงแรมเก็บรวมกับค่าที่พัก ให้ผมเอาบิลไปขึ้นตั๋วเรือที่ท่าเรือ
ที่ท่าเรือลมพระยาวันนั้นน้ำลด เห็นสันดอนทรายทอดยาวสุดสายตา เรือจอดอยู่ไกลลิบ ต้องเดินไต่สะพานไม้เก่าแก่แกว่งไปมาเกือบกิโล กว่าจะถึงเรือ ทำให้ผมรู้สึกพากพูมใจอย่างยิ่งกับวัยใกล้ฝั่งพร้อมด้วยน้ำหนักเกือบ 30 กิโลบนหลัง ที่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยไม่ต้องหยุดพักใช้ยาลมเป็นตัวช่วย แม้จะถูกหนุ่มๆ ฝรั่งแซงไปหลายคนก็ตาม
ผมขึ้นเรือเอาของไปกองรวมกับของผู้โดยสารคนอื่นๆ ซึ่งกองสูงเกือบท่วมหัว กวาดสายตามองไปรอบๆ ที่นั่งเต็มเกือบหมด โชคดีข้างทางเดินมีที่ว่างอยู่ที่หนึ่ง มีสุภาพสตรีวัยรุ่นนั่งอยู่ชิดด้านใน ผมจึงหย่อนลงนั่งข้างเธอ คิดว่าเธอน่าจะเป็นคนต่างชาติ แต่ไม่รู้ว่าชาติไหน น่าจะเป็นฮ่องกง เกาหลี แต่ชั่งเถอะถึงยังไงก็คงพูดกับผมไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว
จากท่าเรือชุมพร ผมนั่งอยู่ในห้องโดยสารแอร์พักหนึ่งจึงเดินออกมาข้านอก ขึ้นบันใดไปชั้นดาดฟ้าเพื่อรับลมทะเลชมทิวทัศน์และอาบแดดผสมปนเปไปกับวัยรุ่นฝรั่ง ทั้งนี้เพื่อจะได้สัมผัสความเป็นจริง ให้สมกับที่ตัดสินใจเดินทางแบบแบคแพ้คต้นฉบับชาวถนนข้าวสารที่แท้จริง ซึ่งในเที่ยวที่มีผมคนหัวขาวอยู่ มีแต่ฝรั่งหัวแดงเกือบจะ 95%
การเดินทางร่วมกับพวกฝรั่งต่างชาติ ที่จริงมันก็ดีไปอย่าง ต่างคนต่างอยู่ไม่มีใครมาชวนคุย รวมทั้งไม่ต้องไปชวนเขาคุย เพราะต่างมีภาษาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ฟังเขาพูดก็ไม่รู้เรื่อง พูดให้เขาฟังก็ไม่ได้เรื่อง มีแต่เยสๆ โนๆ โอมายก็อด
พูดไปก็น่าสมเพทตัวเอง เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งไปฝึกถ่ายภาพที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ขณะนั่งเรือเฟอร์รี่ส์ข้ามฟากจากแหลมงอบ เขาเห็นผมนั่งซดกาแฟร้อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะความหิว จึงเลื่อนกล่องขนมปัง ที่เขานั่งเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยข้างหน้าเขา มาให้ ผมได้แต่พยักหน้ายิ้มรับ คำขอบคุณจากปากผมสักคำก็ไม่มี เพราะนึกไม่ทันว่าภาษาเขาว่าอะไร
อีกอย่างพวกเขาไม่ค่อยจุกจิกจู้จี้ นึกอยากนั่งนอนตรงไหนก็ได้ บนม้านั่งที่เขามีให้นั่งไม่นั่ง ลงไปนอนพื้นที่วางเท้า เพราะเวลาคลื่นมา เรือโคลง หลับสนิทอย่างไรก็ไม่ตกทะเล เวลากินแทบไม่สนใจ น้ำขวดเดียวที่เสียบไว้ข้างเป้ หรืออย่างมากเบียร์กระป๋องเดียวกล้วยหอมลูกหนึ่งอยู่ได้ครึ่งวัน
เดี่ยวการเดินทาง 2
โดย....เณร อยู่นาน
ผมอาบแดดอยู่กับพวกเขานาน จนรู้สึกหิวน้ำ จึงลงไปบาร์ขายเครื่องดื่มชั้นล่าง ซื้อแฮมไก่มากินอันหนึ่ง เติมน้ำดื่มเข้าไปอีกครึ่งขวด แล้วยืนเซไปเซมาคุยกับเด็กบาร์อยู่พักหนึ่ง จึงขึ้นไปยังดาดฟ้าอีก เพราะเรือเริ่มมีอาการกระโจนขึ้นลงเป็นจังหวะแต่ก็ไม่รุนแรงมากนัก เหมือนเป็นสัญญาณเตือนทุกคนบนเรือว่า ณ เวลานี้เราอยู่ในทะเล ไม่ได้อยู่ในอ่างเก็บหรือทะเลสาบ จึงต้องมีคลื่นลมบ้างตามธรรมชาติของทะเล
อยู่บนดาดฟ้าเรือแบบหลับๆ ตื่นๆ ท่ามกลางแสงแดดอยู่พักหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาเริ่มเห็นเงาสีเทาจางๆ ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าไกลออกไป จึงเอากล้องส่องทางไกลที่พกติดตัวส่องดูเห็นชัด ว่านั่นคือ เกาะนางยวนทาบทับซ้อนกันอยู่กับเกาะเต่าสวรรค์บนดินที่ใครๆ ต้องการจะได้สัมผัสนั่นเอง
ท่านผู้อ่านที่รักคงสงสัยว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าเป็นที่ไหน ก็อยากจะขอกราบเรียนว่า ผมเป็นลูกชาวสวนชาวไร่ที่เกิดสมุยเป็นชาวเกาะแท้ ในช่วงปี 2496 ที่มาเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ ผมเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเรือบรรทุกมะพร้าว ท่องไปท่องมาอยู่ในอ่าวไทยประจำปีละเที่ยวเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นในทะเลอ่าวไทยเกาะใหญ่ที่มีชื่อ จึงจำได้ไม่ผิด
เรือลมพระยาใช้สปีดเต็มกำลัง ถาโถมเล่นคลื่นอีกพัก สิ่งที่เห็นจากกล้องส่องทางไกล ทุกคนบนเรือสามารถเห็นได้ด้วยตา ผมจึงยกกล้องคู่มือขึ้นเล็งซูมภาพเกือบเต็มอัตราที่กล้องทำได้ เพื่อเก็บความงดงามของทะเลไว้เป็นที่ระลึกและอีกไม่นานนัก เรือเริ่มลดความเร็ว โฉบเข้าไปใกล้เกาะนางยวน ผมยืนอยู่บนดาดฟ้า จึงยกกล้องขึ้นเล็ง กดชัตเตอร์อย่างไม่ยั้งมือ เพื่อให้คุ้มกับที่อดออมอยู่หลายมื้อกว่าจะมาถึง และกล้องก็ได้ทำงานคุ่มค่า
เนื่องจากที่เกาะนางยวนไม่มีท่าเทียบ เรือจึงเลยเข้าไปเทียบท่าที่ท่าเรือเกาะเต่าเพื่อให้คนลง ผมสังเกตดูคนแวะลงที่เกาะเต่าเกือบครึ่งลำ นอกจากคนที่มาเที่ยวแล้วยังมีสะเบียงประกอบอาหาร เช่นหมูเห็ดเป็ดไก่ใส่ถุงพลาสติกอีกกองพะเนิน กว่าจะออกเรือได้เกือบครึ่งชั่วโมง ที่เกาะเต่าผมยังมีเพื่อนวัยเดียวกันสมัยเรียนประถมคนหนึ่ง คิดว่าวันหลังจะแวะมาเยี่ยม ถ้าไม่เขาหรือผมไปวัดเสียก่อน
ที่เกาะเต่าผมเก็บภาพประทับใจได้มากมาย ไม่เสียแรงที่เสี่ยงเดินทางมาแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ แถมอยู่ในวัยปริ่มๆ น้ำ พร้อมที่จะจมลงเป็นเหยื่อปูปลา
จากเกาะเต่า เรือลมพระยาเจ้าทะเลความเร็วสูง เท่าที่มีบริการอยู่ในขณะนี้ เบนหัวเรือออกทะเลลึกอีกครั้ง ทิ้งเกาะเต่าและเกาะนางยวนไว้เบื้องหลังอย่างไม่อาลัยใยดี บ่ายโฉมหน้าสู่พะงัน หัวเรือแหวกน้ำทะเลสีครามสดสวย เป็นฟองขาวแตกกระจายจนบางครั้งกระเซ็นขึ้นมาถึงดาดฟ้า
ผมถามเด็กบาร์ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรจึงจะถึงเกาะพะงัน เธอบอกว่าขึ้นอยู่สภาพทะเล ถ้าทะเลเรียบประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้ามีคลื่นลมแรงก็จะช้าหน่อย เพราะลมและคลื่นจะลดความเร็วเรือไปในตัว
ความจริงสำหรับผมจะถึงเมื่อไรก็ได้ ไม่มีจุดหมายตายตัว หรือนัดแนะกับใครที่ไหน ขอเพียงอย่าต้องลอยคออยู่กลางทะเลก็ใช้ได้
และในที่สุด เมื่อได้เวลาเรือก็เข้าเทียบท่าเกาะพะงัน ซึ่งมีสะพานคอนกรีตยาวยื่นออกไปในทะเล มีเรือทั้งเรือปลาและเรือโดยสารระหว่างเกาะจอดเทียบอยู่เต็มจนมองไม่เห็นสะพาน ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจกับความเจริญรุ่งเรือง ที่น่าจะล้ำหน้าสมุยไปไกล ถ้าเทียบกับที่ผมมาในสมัยยังเป็นเด็ก ต่างกันราวฝ่ามือกับหลังเท้า นักท่องเที่ยวที่เหลือจากเกาะเต่าลงที่นี่เกือบหมด เหลือไปถึงสมุยไม่กี่คน ส่วนมากจะเป็นคนสัญชาติเดียวกับผม
พะงันสมัยก่อนเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน เป็นเพียงกิ่งอำเภอเล็กๆ ผมเคยมาจับปลากับบรรดาเพื่อนๆ ครั้งหนึ่ง ที่อ่าวโฉลกหลำและติดพายุอดข้าวอยู่ที่นั่น 2 วัน ต้องกินมะพร้าวอ่อนกับปลาเผา แต่ทุกวันนี้แทบไม่มีของเก่าให้เห็น การเดินทางสมัยนั้นใช้เวลายาวนาน ในขณะที่ทุกวันนี้ 20-30 นาทีก็ถึง
หลังจากขึ้นบก ยืนพักบังเงาแดดอยู่ใต้ร่มไม้พอหายเหนื่อย จึงออกเดินลากเป้วนสำรวจในเขตท่าเรือ มองหาห้องน้ำก็ไม่พบ เคว้งคว้างยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี เพราะมีอ่าวที่มีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามแทบจะรอบเกาะ
ก็พอดีนึกชื่อเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งได้ ชื่อสมจินต์เขาบอกว่าเขาทำรีสอร์ท อยู่ที่หาดริ้น ความจริงสมจินต์ นอกจากเป็นเพื่อนร่วมเรียนกันมาแล้วยังเป็นญาติอีกชั้นหนึ่ง พี่ชายเขาเคยเป็นครูสอนผม พี่ๆ เขาทุกคนผมรู้จักและจำชื่อได้หมด นปูเพียงแต่ผมกับเขาไม่พบกันมานาน จนต่างคนต่างอายุเข้าหลัก 7 ถึงนึกได้
นี่แหละครับคือผมล่ะ จะคิดถึงแต่เรื่องของตนเองมาตลอด ต้องจนมุมจึงคิดถึงคนโน้นคนนี้ขึ้นมา
อย่างวันนี้ขณะที่ผมกำลังนั่งคุยอยู่กับศิษย์เวลา 14.37 น. มีคนโทรมาถามว่าคนของเขาหาย 2 วันแล้ว ไปดูหมอมาหมอบอกว่าตายและอยู่ใต้ท้องเรือ ทำเอาผมงง เพราะไม่เคยรู้เรื่องยาม แต่เห็นเป็นเรื่องที่เขาต้องการความช่วยเหลือ จึงโทรไปหาหมอดูที่เก่งเรื่องจับยาม หมอจับยามคนนี้เป็นเพื่อนกัน พอปรึกษาได้ ปรากฏว่าเขาไปพักผ่อนที่ภูเขียว แต่เขาก็มีน้ำใจบอกว่า ยังไม่ตายหรอกเพียงอาการสาหัส รักษาให้เหมือนเดิมยาก ผมจึงถ่ายทอดให้ทราบอีกทีหนึ่ง
ถ้าในมุมมองของโหร ตามเวลาที่เขาโทรมานั้น ผมทำอะไรไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นช่วย แต่ก็ไม่สะดวกนัก เพราะคนที่จะช่วยได้ อยู่ถึงภูเขียว และต้องโทรถึง 2 ครั้ง ที่ไม่สามารถช่วยได้เพราะจันทร์ ๒ จร 24.00 น.เวลานั้นอยู่ในเรือนวินาสน์จะเข้าทับลัคนาตอน 20.44 น.ส่วนจันทร์ ๒ รวมทั้งอาทิตย์ ๑ จรแบบ 10ลัคนาก็เข้าเรือนอริพอดี น่าคิดนะครับ ระหว่างยามกับจันทร์ ๒ จร10ลัคนา
ทีนี้หันมาเรื่องที่ไม่น่าเป็นเรื่องกันต่อ ดังที่ว่าเพื่อนผมเขาทำรีสอร์ทอยู่ที่หาดริ้น แต่ชื่อรีสอร์ทผมจำไม่ได้ เพราะชื่อคล้ายกันมากมาย และในแต่ละอ่าวมีรีสอร์ทเป็น 100 รายละเอียดอื่นที่ผมเคยทราบเมื่อนานมาแล้วก็หายหมด แต่มั่นใจว่าไปถึงคงถามหาจนพบ เพราะโบราณบอกว่าหนทางอยู่ที่ปาก ใช้ปากให้เป็นประโยชน์จะเอาตัวรอดได้ ดูพวกฝรั่งนั่นสิ ส่วนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองไทยอยู่มุมไหนของโลก แต่เขาก็มาที่เกาะเต่าเกาะนางยวนไม่ผิด
แล้วนี่ผม เป็นคนเกาะสมุยเพียวๆ 100% หาคนๆ หนึ่งบนเกาะพะงันไม่พบก็ให้มันรู้กันไป
คิดได้ดังนั้น ผมลากเป้ลงจากลานท่าเรือไปที่ลานจอดรถสองแถวแล้วเปลี่ยนสำเนียงพูดใหม่เป็นคนสมุยแท้ ทุกอย่างก็กระจ่างหมด จะเป็นการบังเอิญหรือโชคดีของผมก็ไม่ทราบได้ โชว์เฟอร์รถคันที่ผมถามจะให้ไปส่งที่หาดริ้น เมื่อไล่ชื่อและนามสกุล ก็คือลูกหลานห่างๆ ของผมคนหนึ่ง
เมื่อได้รายละเอียดเพิ่ม ผมจึงเร่งให้เขาไปส่ง เขาบอกเขาขอหาฝรั่งอีกสัก 2-3 คน เพื่อจะได้คุ้มทุน ซึ่งผมก็ไม่ว่า ขืนไปคนเดียวต้องจ่ายถึง 450 บาท รอพักหนึ่งเขาก็ได้ลูกค้าฝรั่งสาว 2 คน เมื่อรวมกับผม เราก็จ่ายกันคนละ 150 บาท
รถ 2 แถวส่งผมที่รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังติดทะเล ระหว่างทะเลกับสระน้ำของรีสอร์ท คั่นกลางด้วยหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ ที่หาดนี่เองเป็นที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ ถือว่าผมโชคดีที่ไปทันงานในคืนสุดท้าย คราวหน้ากะจะไปให้ทันคืนแรก แม้จะลงทุนแพงหน่อย
ในที่สุดผมก็ได้ห้องพักที่พะงันเบย์ชอร์ รีสอร์ท 2 เตียงนอน 2,500 พักคนเดียวได้ 2 เตียงถือว่าฟุ่มเฟือยสุดๆ แต่ไม่มีทางเลือกเพราะมีอยู่ห้องเดียว ดีกว่าไปนอนใต้ต้นหูกวางริมถนน เมื่อเสียค่าที่พักแพง ผมก็หาทางออกด้วยการกินถูกๆ หรือไม่ก็กินฟรีไปเลยถ้าใครมาเปิดช่องให้
หลังจากเช็คอินเรียบร้อย อาบน้ำนอนพักพอหายเหนื่อย จึงเดินลัดเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวแคบๆ ประมาณ 50 เมตรก็พบซันไรส์รีสอร์ท ถามหาเจ้าของซึ่งเป็นหญิงวัย 70 เศษที่เป็นทั้งญาติ และเพื่อนผมนั่นเอง
บ้านเขาอยู่ในเขตรีสอร์ท เป็นบ้าน 2 ชั้น 2 ห้องอยู่คนละห้องกับสามี เขาจำผมไม่ได้ แต่ผมจำเขาได้ วันนั้นก็เลยคุยกันนาน ในเรื่องเก่าๆ สรุปแล้ววันนั้นเขาเชิญผมไปกินข้าวมื้อเย็นพร้อมครอบครัวที่ห้องอาหารในรีสอร์ทนั่นเอง เห็นไหมครับว่าผมเป็นคนมีลาภปากไม่ค่อยขาด ดาวในดวงชะตาก็คอยเอื้ออำนวยให้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ดูได้จากวันเริ่มเดินทาง คือวันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2554 อาทิตย์ ๑ จรขึ้นทับลัคน์ จันทร์ ๒ จรเข้าเล็งลัคน์ ค้างคืนที่ชุมพร 1 คืน พอวันที่ 19 ออกเดินทางต่อไปพักที่พะงัน จันทร์ ๒ ยังเล็งเหมือนเดิม วันที่ 20 เช้าออกจากหาดริ้นเกาะพะงันไปสมุย
จันทร์ ๒ จรเข้าเรือนมรณะตั้งแต่ตี 5 พอลงเรือฝรั่งเห็นเป็นคนแก่จึงขยับที่ให้นั่ง ต้องนั่งตากแดดจนถึงสมุย ราว 45 นาที ขึ้นเรือที่เกาะฟานหรือท่าเรือพระใหญ่ ไม่มีรถสองแถวจะไปหน้าทอน ต้องจ้างแท็กซี่ 400 ถ้วนไม่หย่อนแม้แต่บาทเดียว คิดในใจว่ารู้อย่างนี้แบกเต็นท์มาด้วยก็จะดี จะได้กางนอนริมถนนแม่งเลย
พักที่สมุย 4 คืนเพื่อเก็บภาพสถานที่ๆ ในสมัยเด็กเคยไปวิ่งเล่นจนคุ้นเคย ที่ขาดไม่ได้คือดักถ่ายอาทิตย์ตกน้ำไว้หลายสิบภาพ วางแผนว่าวันจันทร์ที่ 25 จึงค่อยเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยเส้นทางสายเดิม คือขึ้นเรือลมพระยาที่สมุยผ่านพะงันผ่านเกาะเต่าเข้าชุมพร นั่งรถวีไอพี.เข้าถนนข้าวสาร
ก็พอดีมีศิษย์ที่สุราษฎร์โทรเข้ามา เลยต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ไปสุราษฎร์แล้วขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
ที่สุราษฎร์หรือที่บ้านดอน ผมมีศิษย์ 4 คน อยู่ในตัวเมือง 3 ที่อำเภอนาสาน 1 แต่วันนั้นได้พบเพียง 2 คนอีก 2 คนติดต่อไม่ได้ มีประหลาดอยู่คนหนึ่ง เรียนทาง ปณ.มาตั้งแต่ปี 2540 ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย เพิ่งมาพบกันปี 2554
ผมออกจากเกาะสมุยขึ้นเรือเฟอร์รี่ส์เข้าดอนสักเที่ยวเช้า จับรถทัวร์เข้าเมือง นัดศิษย์มารับที่ศาลหลักเมือง เข้าพักที่แก้วสมุยรีสอร์ท โดยการอนุเคราะห์จากศิษย์ ทั้งที่พัก ค่าอาหาร และค่าเครื่องบินกลับ แถมด้วยโปรโมชั่นพิเศษพอกเก็ตมันนี่อีก 5000
ที่ลืมไม่ได้และเป็นที่ถูกใจผมที่สุด คือมื้อค่ำและมื้อดึกที่สุราษฎร์ มื้อค่ำไปกินอาหารทะเลที่ร้านดังปากน้ำตาปี ที่ประทับใจคือกั้งเผา ปลาเผาแกล้มแบล๊กเลเบิ้ล พอรอบดึกไปจิบไวน์ฟังเพลงร้านดังของนักการเมืองที่นั่น ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำตาปีจนร้านปิด
เช้าขึ้นมาไปชิมอาหารแขก พอบ่ายไปกินฉลามผัดฉ่าล้างแค้นแก่คนที่เคยถูกฉลามกัด ในคลองบางใบไม้ เป็นมื้ออำลาขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
เกือบตลอดการเดินทาง ดาวจันทร์ ๒ จรเป็นตัวชี้นำว่าดีหรือไม่ดี สะดวกหรือไม่สะดวก มีลาภหรือขัดลาภ ศิษย์ของผมคนที่เป็นเจ้าภาพหลัก ลัคนาราศีเดียวกันคือราศีเมษ ถ้าดวงผมดี ดวงเขาก็ดี
ดังนั้นระหว่างโซ้ยฉลามผัดฉ่ามื้อสุดท้ายขณะที่จันทร์ ๒ จรเข้าราศีมังกรเป็น 10 แก่ลัคนา ได้เกณฑ์ปัศว เขาขายบ้านเงินสดราคา 2 ล้านได้ ในระหว่างที่ขับรถให้ผมไป เก็บของเตรียมไปขึ้นเครื่อง เพราะเขาคือสุภาพสตรีเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรที่มีชื่อของสุราษฎร์เมืองคนดี
เดี่ยวการเดินทาง 3
ผมอาบแดดอยู่กับพวกเขานาน จนรู้สึกหิวน้ำ จึงลงไปบาร์ขายเครื่องดื่มชั้นล่าง ซื้อแฮมไก่มากินอันหนึ่ง เติมน้ำดื่มเข้าไปอีกครึ่งขวด แล้วยืนเซไปเซมาคุยกับเด็กบาร์อยู่พักหนึ่ง จึงขึ้นไปยังดาดฟ้าอีก เพราะเรือเริ่มมีอาการกระโจนขึ้นลงเป็นจังหวะแต่ก็ไม่รุนแรงมากนัก เหมือนเป็นสัญญาณเตือนทุกคนบนเรือว่า ณ เวลานี้เราอยู่ในทะเล ไม่ได้อยู่ในอ่างเก็บหรือทะเลสาบ จึงต้องมีคลื่นลมบ้างตามธรรมชาติของทะเล
อยู่บนดาดฟ้าเรือแบบหลับๆ ตื่นๆ ท่ามกลางแสงแดดอยู่พักหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาเริ่มเห็นเงาสีเทาจางๆ ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าไกลออกไป จึงเอากล้องส่องทางไกลที่พกติดตัวส่องดูเห็นชัด ว่านั่นคือ เกาะนางยวนทาบทับซ้อนกันอยู่กับเกาะเต่าสวรรค์บนดินที่ใครๆ ต้องการจะได้สัมผัสนั่นเอง
ท่านผู้อ่านที่รักคงสงสัยว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าเป็นที่ไหน ก็อยากจะขอกราบเรียนว่า ผมเป็นลูกชาวสวนชาวไร่ที่เกิดสมุยเป็นชาวเกาะแท้ ในช่วงปี 2496 ที่มาเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ ผมเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเรือบรรทุกมะพร้าว ท่องไปท่องมาอยู่ในอ่าวไทยประจำปีละเที่ยวเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นในทะเลอ่าวไทยเกาะใหญ่ที่มีชื่อ จึงจำได้ไม่ผิด
เรือลมพระยาใช้สปีดเต็มกำลัง ถาโถมเล่นคลื่นอีกพัก สิ่งที่เห็นจากกล้องส่องทางไกล ทุกคนบนเรือสามารถเห็นได้ด้วยตา ผมจึงยกกล้องคู่มือขึ้นเล็งซูมภาพเกือบเต็มอัตราที่กล้องทำได้ เพื่อเก็บความงดงามของทะเลไว้เป็นที่ระลึกและอีกไม่นานนัก เรือเริ่มลดความเร็ว โฉบเข้าไปใกล้เกาะนางยวน ผมยืนอยู่บนดาดฟ้า จึงยกกล้องขึ้นเล็ง กดชัตเตอร์อย่างไม่ยั้งมือ เพื่อให้คุ้มกับที่อดออมอยู่หลายมื้อกว่าจะมาถึง และกล้องก็ได้ทำงานคุ่มค่า
เนื่องจากที่เกาะนางยวนไม่มีท่าเทียบ เรือจึงเลยเข้าไปเทียบท่าที่ท่าเรือเกาะเต่าเพื่อให้คนลง ผมสังเกตดูคนแวะลงที่เกาะเต่าเกือบครึ่งลำ นอกจากคนที่มาเที่ยวแล้วยังมีสะเบียงประกอบอาหาร เช่นหมูเห็ดเป็ดไก่ใส่ถุงพลาสติกอีกกองพะเนิน กว่าจะออกเรือได้เกือบครึ่งชั่วโมง ที่เกาะเต่าผมยังมีเพื่อนวัยเดียวกันสมัยเรียนประถมคนหนึ่ง คิดว่าวันหลังจะแวะมาเยี่ยม ถ้าไม่เขาหรือผมไปวัดเสียก่อน
ที่เกาะเต่าผมเก็บภาพประทับใจได้มากมาย ไม่เสียแรงที่เสี่ยงเดินทางมาแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ แถมอยู่ในวัยปริ่มๆ น้ำ พร้อมที่จะจมลงเป็นเหยื่อปูปลา
จากเกาะเต่า เรือลมพระยาเจ้าทะเลความเร็วสูง เท่าที่มีบริการอยู่ในขณะนี้ เบนหัวเรือออกทะเลลึกอีกครั้ง ทิ้งเกาะเต่าและเกาะนางยวนไว้เบื้องหลังอย่างไม่อาลัยใยดี บ่ายโฉมหน้าสู่พะงัน หัวเรือแหวกน้ำทะเลสีครามสดสวย เป็นฟองขาวแตกกระจายจนบางครั้งกระเซ็นขึ้นมาถึงดาดฟ้า
ผมถามเด็กบาร์ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรจึงจะถึงเกาะพะงัน เธอบอกว่าขึ้นอยู่สภาพทะเล ถ้าทะเลเรียบประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้ามีคลื่นลมแรงก็จะช้าหน่อย เพราะลมและคลื่นจะลดความเร็วเรือไปในตัว
ความจริงสำหรับผมจะถึงเมื่อไรก็ได้ ไม่มีจุดหมายตายตัว หรือนัดแนะกับใครที่ไหน ขอเพียงอย่าต้องลอยคออยู่กลางทะเลก็ใช้ได้
และในที่สุด เมื่อได้เวลาเรือก็เข้าเทียบท่าเกาะพะงัน ซึ่งมีสะพานคอนกรีตยาวยื่นออกไปในทะเล มีเรือทั้งเรือปลาและเรือโดยสารระหว่างเกาะจอดเทียบอยู่เต็มจนมองไม่เห็นสะพาน ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจกับความเจริญรุ่งเรือง ที่น่าจะล้ำหน้าสมุยไปไกล ถ้าเทียบกับที่ผมมาในสมัยยังเป็นเด็ก ต่างกันราวฝ่ามือกับหลังเท้า นักท่องเที่ยวที่เหลือจากเกาะเต่าลงที่นี่เกือบหมด เหลือไปถึงสมุยไม่กี่คน ส่วนมากจะเป็นคนสัญชาติเดียวกับผม
พะงันสมัยก่อนเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน เป็นเพียงกิ่งอำเภอเล็กๆ ผมเคยมาจับปลากับบรรดาเพื่อนๆ ครั้งหนึ่ง ที่อ่าวโฉลกหลำและติดพายุอดข้าวอยู่ที่นั่น 2 วัน ต้องกินมะพร้าวอ่อนกับปลาเผา แต่ทุกวันนี้แทบไม่มีของเก่าให้เห็น การเดินทางสมัยนั้นใช้เวลายาวนาน ในขณะที่ทุกวันนี้ 20-30 นาทีก็ถึง
หลังจากขึ้นบก ยืนพักบังเงาแดดอยู่ใต้ร่มไม้พอหายเหนื่อย จึงออกเดินลากเป้วนสำรวจในเขตท่าเรือ มองหาห้องน้ำก็ไม่พบ เคว้งคว้างยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี เพราะมีอ่าวที่มีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามแทบจะรอบเกาะ
ก็พอดีนึกชื่อเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งได้ ชื่อสมจินต์เขาบอกว่าเขาทำรีสอร์ท อยู่ที่หาดริ้น ความจริงสมจินต์ นอกจากเป็นเพื่อนร่วมเรียนกันมาแล้วยังเป็นญาติอีกชั้นหนึ่ง พี่ชายเขาเคยเป็นครูสอนผม พี่ๆ เขาทุกคนผมรู้จักและจำชื่อได้หมด นปูเพียงแต่ผมกับเขาไม่พบกันมานาน จนต่างคนต่างอายุเข้าหลัก 7 ถึงนึกได้
นี่แหละครับคือผมล่ะ จะคิดถึงแต่เรื่องของตนเองมาตลอด ต้องจนมุมจึงคิดถึงคนโน้นคนนี้ขึ้นมา
อย่างวันนี้ขณะที่ผมกำลังนั่งคุยอยู่กับศิษย์เวลา 14.37 น. มีคนโทรมาถามว่าคนของเขาหาย 2 วันแล้ว ไปดูหมอมาหมอบอกว่าตายและอยู่ใต้ท้องเรือ ทำเอาผมงง เพราะไม่เคยรู้เรื่องยาม แต่เห็นเป็นเรื่องที่เขาต้องการความช่วยเหลือ จึงโทรไปหาหมอดูที่เก่งเรื่องจับยาม หมอจับยามคนนี้เป็นเพื่อนกัน พอปรึกษาได้ ปรากฏว่าเขาไปพักผ่อนที่ภูเขียว แต่เขาก็มีน้ำใจบอกว่า ยังไม่ตายหรอกเพียงอาการสาหัส รักษาให้เหมือนเดิมยาก ผมจึงถ่ายทอดให้ทราบอีกทีหนึ่ง
ถ้าในมุมมองของโหร ตามเวลาที่เขาโทรมานั้น ผมทำอะไรไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นช่วย แต่ก็ไม่สะดวกนัก เพราะคนที่จะช่วยได้ อยู่ถึงภูเขียว และต้องโทรถึง 2 ครั้ง ที่ไม่สามารถช่วยได้เพราะจันทร์ ๒ จร 24.00 น.เวลานั้นอยู่ในเรือนวินาสน์จะเข้าทับลัคนาตอน 20.44 น.ส่วนจันทร์ ๒ รวมทั้งอาทิตย์ ๑ จรแบบ 10ลัคนาก็เข้าเรือนอริพอดี น่าคิดนะครับ ระหว่างยามกับจันทร์ ๒ จร10ลัคนา
ทีนี้หันมาเรื่องที่ไม่น่าเป็นเรื่องกันต่อ ดังที่ว่าเพื่อนผมเขาทำรีสอร์ทอยู่ที่หาดริ้น แต่ชื่อรีสอร์ทผมจำไม่ได้ เพราะชื่อคล้ายกันมากมาย และในแต่ละอ่าวมีรีสอร์ทเป็น 100 รายละเอียดอื่นที่ผมเคยทราบเมื่อนานมาแล้วก็หายหมด แต่มั่นใจว่าไปถึงคงถามหาจนพบ เพราะโบราณบอกว่าหนทางอยู่ที่ปาก ใช้ปากให้เป็นประโยชน์จะเอาตัวรอดได้ ดูพวกฝรั่งนั่นสิ ส่วนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองไทยอยู่มุมไหนของโลก แต่เขาก็มาที่เกาะเต่าเกาะนางยวนไม่ผิด
แล้วนี่ผม เป็นคนเกาะสมุยเพียวๆ 100% หาคนๆ หนึ่งบนเกาะพะงันไม่พบก็ให้มันรู้กันไป
คิดได้ดังนั้น ผมลากเป้ลงจากลานท่าเรือไปที่ลานจอดรถสองแถวแล้วเปลี่ยนสำเนียงพูดใหม่เป็นคนสมุยแท้ ทุกอย่างก็กระจ่างหมด จะเป็นการบังเอิญหรือโชคดีของผมก็ไม่ทราบได้ โชว์เฟอร์รถคันที่ผมถามจะให้ไปส่งที่หาดริ้น เมื่อไล่ชื่อและนามสกุล ก็คือลูกหลานห่างๆ ของผมคนหนึ่ง
เมื่อได้รายละเอียดเพิ่ม ผมจึงเร่งให้เขาไปส่ง เขาบอกเขาขอหาฝรั่งอีกสัก 2-3 คน เพื่อจะได้คุ้มทุน ซึ่งผมก็ไม่ว่า ขืนไปคนเดียวต้องจ่ายถึง 450 บาท รอพักหนึ่งเขาก็ได้ลูกค้าฝรั่งสาว 2 คน เมื่อรวมกับผม เราก็จ่ายกันคนละ 150 บาท
รถ 2 แถวส่งผมที่รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังติดทะเล ระหว่างทะเลกับสระน้ำของรีสอร์ท คั่นกลางด้วยหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ ที่หาดนี่เองเป็นที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ ถือว่าผมโชคดีที่ไปทันงานในคืนสุดท้าย คราวหน้ากะจะไปให้ทันคืนแรก แม้จะลงทุนแพงหน่อย
ในที่สุดผมก็ได้ห้องพักที่พะงันเบย์ชอร์ รีสอร์ท 2 เตียงนอน 2,500 พักคนเดียวได้ 2 เตียงถือว่าฟุ่มเฟือยสุดๆ แต่ไม่มีทางเลือกเพราะมีอยู่ห้องเดียว ดีกว่าไปนอนใต้ต้นหูกวางริมถนน เมื่อเสียค่าที่พักแพง ผมก็หาทางออกด้วยการกินถูกๆ หรือไม่ก็กินฟรีไปเลยถ้าใครมาเปิดช่องให้
หลังจากเช็คอินเรียบร้อย อาบน้ำนอนพักพอหายเหนื่อย จึงเดินลัดเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวแคบๆ ประมาณ 50 เมตรก็พบซันไรส์รีสอร์ท ถามหาเจ้าของซึ่งเป็นหญิงวัย 70 เศษที่เป็นทั้งญาติ และเพื่อนผมนั่นเอง
บ้านเขาอยู่ในเขตรีสอร์ท เป็นบ้าน 2 ชั้น 2 ห้องอยู่คนละห้องกับสามี เขาจำผมไม่ได้ แต่ผมจำเขาได้ วันนั้นก็เลยคุยกันนาน ในเรื่องเก่าๆ สรุปแล้ววันนั้นเขาเชิญผมไปกินข้าวมื้อเย็นพร้อมครอบครัวที่ห้องอาหารในรีสอร์ทนั่นเอง เห็นไหมครับว่าผมเป็นคนมีลาภปากไม่ค่อยขาด ดาวในดวงชะตาก็คอยเอื้ออำนวยให้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ดูได้จากวันเริ่มเดินทาง คือวันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2554 อาทิตย์ ๑ จรขึ้นทับลัคน์ จันทร์ ๒ จรเข้าเล็งลัคน์ ค้างคืนที่ชุมพร 1 คืน พอวันที่ 19 ออกเดินทางต่อไปพักที่พะงัน จันทร์ ๒ ยังเล็งเหมือนเดิม วันที่ 20 เช้าออกจากหาดริ้นเกาะพะงันไปสมุย
จันทร์ ๒ จรเข้าเรือนมรณะตั้งแต่ตี 5 พอลงเรือฝรั่งเห็นเป็นคนแก่จึงขยับที่ให้นั่ง ต้องนั่งตากแดดจนถึงสมุย ราว 45 นาที ขึ้นเรือที่เกาะฟานหรือท่าเรือพระใหญ่ ไม่มีรถสองแถวจะไปหน้าทอน ต้องจ้างแท็กซี่ 400 ถ้วนไม่หย่อนแม้แต่บาทเดียว คิดในใจว่ารู้อย่างนี้แบกเต็นท์มาด้วยก็จะดี จะได้กางนอนริมถนนแม่งเลย
พักที่สมุย 4 คืนเพื่อเก็บภาพสถานที่ๆ ในสมัยเด็กเคยไปวิ่งเล่นจนคุ้นเคย ที่ขาดไม่ได้คือดักถ่ายอาทิตย์ตกน้ำไว้หลายสิบภาพ วางแผนว่าวันจันทร์ที่ 25 จึงค่อยเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยเส้นทางสายเดิม คือขึ้นเรือลมพระยาที่สมุยผ่านพะงันผ่านเกาะเต่าเข้าชุมพร นั่งรถวีไอพี.เข้าถนนข้าวสาร
ก็พอดีมีศิษย์ที่สุราษฎร์โทรเข้ามา เลยต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ไปสุราษฎร์แล้วขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
ที่สุราษฎร์หรือที่บ้านดอน ผมมีศิษย์ 4 คน อยู่ในตัวเมือง 3 ที่อำเภอนาสาน 1 แต่วันนั้นได้พบเพียง 2 คนอีก 2 คนติดต่อไม่ได้ มีประหลาดอยู่คนหนึ่ง เรียนทาง ปณ.มาตั้งแต่ปี 2540 ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย เพิ่งมาพบกันปี 2554
ผมออกจากเกาะสมุยขึ้นเรือเฟอร์รี่ส์เข้าดอนสักเที่ยวเช้า จับรถทัวร์เข้าเมือง นัดศิษย์มารับที่ศาลหลักเมือง เข้าพักที่แก้วสมุยรีสอร์ท โดยการอนุเคราะห์จากศิษย์ ทั้งที่พัก ค่าอาหาร และค่าเครื่องบินกลับ แถมด้วยโปรโมชั่นพิเศษพอกเก็ตมันนี่อีก 5000
ที่ลืมไม่ได้และเป็นที่ถูกใจผมที่สุด คือมื้อค่ำและมื้อดึกที่สุราษฎร์ มื้อค่ำไปกินอาหารทะเลที่ร้านดังปากน้ำตาปี ที่ประทับใจคือกั้งเผา ปลาเผาแกล้มแบล๊กเลเบิ้ล พอรอบดึกไปจิบไวน์ฟังเพลงร้านดังของนักการเมืองที่นั่น ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำตาปีจนร้านปิด
เช้าขึ้นมาไปชิมอาหารแขก พอบ่ายไปกินฉลามผัดฉ่าล้างแค้นแก่คนที่เคยถูกฉลามกัด ในคลองบางใบไม้ เป็นมื้ออำลาขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
เกือบตลอดการเดินทาง ดาวจันทร์ ๒ จรเป็นตัวชี้นำว่าดีหรือไม่ดี สะดวกหรือไม่สะดวก มีลาภหรือขัดลาภ ศิษย์ของผมคนที่เป็นเจ้าภาพหลัก ลัคนาราศีเดียวกันคือราศีเมษ ถ้าดวงผมดี ดวงเขาก็ดี
ดังนั้นระหว่างโซ้ยฉลามผัดฉ่ามื้อสุดท้ายขณะที่จันทร์ ๒ จรเข้าราศีมังกรเป็น 10 แก่ลัคนา ได้เกณฑ์ปัศว เขาขายบ้านเงินสดราคา 2 ล้านได้ ในระหว่างที่ขับรถให้ผมไป เก็บของเตรียมไปขึ้นเครื่อง เพราะเขาคือสุภาพสตรีเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรที่มีชื่อของสุราษฎร์เมืองคนดี
เดี่ยวการเดินทาง 3
เณร อยู่นาน....เขียน
เรื่องที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับวิชาการโหราศาสตร์แม้แต่เพียงน้อยนิด เพียงคนเขียน เป็นคนที่พอมีความรู้โหราศาสตร์บ้างเท่านั้น แต่เหตุที่นำมาเขียนเล่าสู่กันฟัง เป็นเพราะว่าผมต้องการจะอัพเดทเว็ปของตนเองให้กับขาประจำได้อ่านเพื่อคลายเครียด
ถ้าบังเอิญมีท่านผู้อ่านที่ไม่เครียด และเคยติดตามอ่านกันมา จะอ่านเล่น ก็ไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด
ผมจะขอเริ่มต้นตรงที่ว่าในทุกวันจันทร์ เป็นวันพักผ่อนของผม ที่ว่าเป็นวันพักผ่อน ความจริงผมก็พักของผมทุกวันอยู่แล้ว ถ้าอยากจะพัก แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ คือเป็นวันหยุดงานของคนในบ้าน มีคนเฝ้าบ้านแทน
ดังนั้นผมจะไปไหนมาไหนข้ามวันข้ามคืน ไม่มีใครว่า แต่เช้าวันอังคารต้องกลับบ้าน ถ้ากลับไม่ได้ด้วยเหตุที่ไปไกลเกินไป คือไปตกรถอยู่ต่างจังหวัด ก็ต้องหาคนมาแทน ถ้ามีคนแทนผมก็อาจจะไปยาว จนกว่าจะหมดเงิน จึงกลับ ถ้าไม่มีคนมาแทน จะกลับสายวันอังคารหน่อยก็ไม่เป็นไร
อย่างในคราวนี้ไม่มีคนแทน ผมจึงไปไกลนักไม่ได้ เลยวางโปรแกรมว่าจะไปแค่ท่าเตียน ท่าเตียนนี่อยู่ฝั่งกรุงเทพฯ ด้านเหนือติดกับท่าราชวรดิษฐ์ ด้านใต้ติดกับปากคลองตลาด ถ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปอีกฝั่งจะเป็นวัดอรุณอมรินทร์ หรือเรียกตามภาษาชาวบ้านว่าวัดแจ้ง
ที่เรียกว่าวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ นี่น่าจะมาจากว่าสมัยนั้น คงไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นสูงเท่าเจดีย์วัดอรุณ ดังนั้นพอรุ่งอรุณหรือสว่าง จะเห็นแสงอาทิตย์ส่องมาจับเจดีย์ก่อนสิ่งอื่น และอาทิตย์ก็จะลับหลังเจดีย์ ยามที่อาทิตย์อยู่ในตำแหน่งกำลังจะลับขอบฟ้าตะวันตก จึงเป็นจุดงดงามที่สุดของคนรักธรรมชาติ
อีกด้านหนึ่งของท่าเตียน คือทิศตะวันออก ถูกขนาบด้วยวัดโพธิ์ ส่วนตะวันตกมีวัดอรุณอรินทร์ โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาคั่นกลางระหว่างท่าเตียนกับวัดอรุณฯอีกทอดหนึ่ง วัดทั้ง 2 มีเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือต่างก็มียักษ์เป็นผู้ดูแลพื้นที่ของใครของมัน
ตอนผมวัยรุ่น เคยมีคนเขาเอามาเขียนเป็นเพลงว่ายักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งหรือวัดอรุณมีข้อขัดแย้งกัน ส่วนจะขัดแย้งเรื่องอะไรไม่ได้บอกละเอียด แต่ผมคิดว่าน่าจะมาจากการแย่งพื้นที่ ๆ เป็นบริเวณท่าเตียนนั่นเอง
ที่ตรงนี้แต่เดิมเป็นป่าโกงกางแซมด้วยป่าจากเป็นหย่อม ๆ ไปจนยันปากคลองตลาด เป็นที่สวยแปลงหนึ่ง ถ้าใครได้ครอบครองแล้วสร้างรีสอร์ท ให้ฝรั่งเช่านวดแก้เมื่อย น่าจะเป็นขุมทรัพย์ระดับห้าดาว
ยักษ์วัดอรุณคงคิดเหมือนผมคิด จึงวางแผนฮุบมาเป็นของตนเอง ซึ่งความจริงที่ดินแปลงนี้น่าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของยักษ์วัดโพธิ์เพราะอยู่ติดกับวัด เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีหลักฐานเอกสารสิทธ์ ประกอบกับยักษ์วัดแจ้งไม่มีที่ดิน จึงรวบรัดจะเอาเป็นของตนเอง ด้วยการแอบลงเรือข้ามฟากไปสำรวจอย่างลับ ๆ มาแล้วหลายเที่ยว ยักษ์วัดโพธิ์ทราบเรื่องดี แต่ไม่ยอม เพราะถือว่ามากระตุกหนวดเสือถึงปากถ้ำ
ด้วยประการฉะนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงต้องรบกัน อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อยึดครองทำเลทอง อีกฝ่ายเพื่อป้องกันศักดิ์ศรี ในเนื้อเพลงไม่ได้บอกว่ารบกันกี่ร้อยเพลง ใครแพ้ใครชนะ รู้แต่เพียงว่ารบกันจนป่าทั้งป่าเตียนโล่งไปหมด ถ้าสมัยนี้รับรองว่า 2 ยักษ์ต้องโดนข้อหาบุกรุกป่าชายเลนอย่างแน่นอน
ครับ คนอย่างผม ถ้าทำอะไรให้ดูดีเหมือนคนอื่น ก็ไม่ใช่ผม
ดังนั้นการจะเดินทางไปท่าเตียน จากการเคหะร่มเกล้าก็ไม่ใช่จะยากเย็นอะไร เพียงนั่งรถตู้ไปลงบางกะปิ แล้วต่อรถประจำทางสาย 12 ไปลงปากคลองตลาดก็จบ
แต่นี่ผมออกจากร่มเกล้าไปสถานีรถไฟ แอร์พอร์ทลิ้งค์ ลาดกระบัง นั่งรถไฟแอร์พอร์ทลิ้งค์เข้าเมือง เพื่อจะได้เป็นคนรุ่นใหม่
ความจริง ที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามรถแอร์พอร์ทลิ้งค์ นั้น มีอยู่ 2 ขบวน ขบวนธรรมดาแวะทุกสถานี ค่าตั๋วประมาณ 40 บาท แต่รถแอร์พอร์ทลิ้งค์จริง ไม่แวะข้างทาง ออกจากพญาไทหรือมักกะสัน มีปลายทางที่สนามบินสุวรรณภูมิสถานีเดียว ค่าตั๋วประมาณ 90 บาท
วันนั้นผมตีตั๋วไปลงแถว ๆ เพชรบุรีหรือแถวอโศกนี่แหละ ผมจำชื่อสถานีไม่ได้ จากนั้นจึงต่อรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงสถานีสีลมหน้าโรงแรมดุสิตธานี เดินชมวิวอยู่บนถนนสีลมพักหนึ่ง แล้วแว้บเข้าไปในห้างเซ็นทรัล กะว่าจะหาอะไรกินรองท้องหน่อยแล้วค่อยเดินต่อ ก็ไม่พบอะไรน่ากิน
จึงเดินไปตามถนนสีลมเรื่อย ๆ สังเกตุดูสองฟากถนน เริ่มจะมีผู้คนเดินกันขวักไขว่หนาตามากขึ้น บางกลุ่มแต่งตัวดูดีหน้านวล น่าจะเป็นพวกที่เพิ่งออกมาจากห้องแอร์ เพื่อกลับบ้าน ส่วนอีกพวกที่ดูมอมแมมกร้านแดดหน้าเป็นมันวับ กำลังเข็นรถบรรทุกสัมภาระโต๊ะเก้าอี้ คงจะเป็นเจ้าของกิจการหรือนายห้างตัวจริง ที่สร้างสีสันให้กับถนนสีลมยามค่ำคืน
ผมเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปสักพัก ก็พบคูหาเล็ก ๆ แต่ดูสะอาด หน้าร้านมีตู้กระจกแขวนไก่เหลืองอ๋อยอยู่ครึ่งตัว มีข้อความกำกับที่ตู้กระจกว่าไก่อบสมุนไพร 40 หลังตู้มีซิ้มแก่ ๆ กับเด็กสาววัยรุ่นนั่งอยู่ น่าจะเป็นแม่กับลูกสาว มองเข้าไปข้างในเห็นคนนั่งอยู่เกือบเต็มร้าน ผมจึงผลักบานประตูก้าวเข้าไปเพิ่มจำนวนลูกค้าอีกคน สั่งข้าวไก่อบสมุนไพร 1 จานพร้อมน้ำดื่มอีก 1 ขวด
หลังจากข้าวไก่อบสมุนไพรหมดไปครึ่งจาน กำลังวังชาดีขึ้น จึงจ่ายเงินแล้วออกเดินต่อ ที่เหลืออีกครึ่งปล่อยให้เป็นหน้าที่ของร้านจัดการ เหลือบดูนาฬิกา ยังเหลือเวลาพอสำหรับจะไปให้ทัน ชมอาทิตย์ตกดินหลังเจดีย์วัดอรุณอมรินทร์ ท่าเตียน
เดี่ยวการเดินทาง 4
เรื่องที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับวิชาการโหราศาสตร์แม้แต่เพียงน้อยนิด เพียงคนเขียน เป็นคนที่พอมีความรู้โหราศาสตร์บ้างเท่านั้น แต่เหตุที่นำมาเขียนเล่าสู่กันฟัง เป็นเพราะว่าผมต้องการจะอัพเดทเว็ปของตนเองให้กับขาประจำได้อ่านเพื่อคลายเครียด
ถ้าบังเอิญมีท่านผู้อ่านที่ไม่เครียด และเคยติดตามอ่านกันมา จะอ่านเล่น ก็ไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด
ผมจะขอเริ่มต้นตรงที่ว่าในทุกวันจันทร์ เป็นวันพักผ่อนของผม ที่ว่าเป็นวันพักผ่อน ความจริงผมก็พักของผมทุกวันอยู่แล้ว ถ้าอยากจะพัก แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ คือเป็นวันหยุดงานของคนในบ้าน มีคนเฝ้าบ้านแทน
ดังนั้นผมจะไปไหนมาไหนข้ามวันข้ามคืน ไม่มีใครว่า แต่เช้าวันอังคารต้องกลับบ้าน ถ้ากลับไม่ได้ด้วยเหตุที่ไปไกลเกินไป คือไปตกรถอยู่ต่างจังหวัด ก็ต้องหาคนมาแทน ถ้ามีคนแทนผมก็อาจจะไปยาว จนกว่าจะหมดเงิน จึงกลับ ถ้าไม่มีคนมาแทน จะกลับสายวันอังคารหน่อยก็ไม่เป็นไร
อย่างในคราวนี้ไม่มีคนแทน ผมจึงไปไกลนักไม่ได้ เลยวางโปรแกรมว่าจะไปแค่ท่าเตียน ท่าเตียนนี่อยู่ฝั่งกรุงเทพฯ ด้านเหนือติดกับท่าราชวรดิษฐ์ ด้านใต้ติดกับปากคลองตลาด ถ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปอีกฝั่งจะเป็นวัดอรุณอมรินทร์ หรือเรียกตามภาษาชาวบ้านว่าวัดแจ้ง
ที่เรียกว่าวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ นี่น่าจะมาจากว่าสมัยนั้น คงไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นสูงเท่าเจดีย์วัดอรุณ ดังนั้นพอรุ่งอรุณหรือสว่าง จะเห็นแสงอาทิตย์ส่องมาจับเจดีย์ก่อนสิ่งอื่น และอาทิตย์ก็จะลับหลังเจดีย์ ยามที่อาทิตย์อยู่ในตำแหน่งกำลังจะลับขอบฟ้าตะวันตก จึงเป็นจุดงดงามที่สุดของคนรักธรรมชาติ
อีกด้านหนึ่งของท่าเตียน คือทิศตะวันออก ถูกขนาบด้วยวัดโพธิ์ ส่วนตะวันตกมีวัดอรุณอรินทร์ โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาคั่นกลางระหว่างท่าเตียนกับวัดอรุณฯอีกทอดหนึ่ง วัดทั้ง 2 มีเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือต่างก็มียักษ์เป็นผู้ดูแลพื้นที่ของใครของมัน
ตอนผมวัยรุ่น เคยมีคนเขาเอามาเขียนเป็นเพลงว่ายักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งหรือวัดอรุณมีข้อขัดแย้งกัน ส่วนจะขัดแย้งเรื่องอะไรไม่ได้บอกละเอียด แต่ผมคิดว่าน่าจะมาจากการแย่งพื้นที่ ๆ เป็นบริเวณท่าเตียนนั่นเอง
ที่ตรงนี้แต่เดิมเป็นป่าโกงกางแซมด้วยป่าจากเป็นหย่อม ๆ ไปจนยันปากคลองตลาด เป็นที่สวยแปลงหนึ่ง ถ้าใครได้ครอบครองแล้วสร้างรีสอร์ท ให้ฝรั่งเช่านวดแก้เมื่อย น่าจะเป็นขุมทรัพย์ระดับห้าดาว
ยักษ์วัดอรุณคงคิดเหมือนผมคิด จึงวางแผนฮุบมาเป็นของตนเอง ซึ่งความจริงที่ดินแปลงนี้น่าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของยักษ์วัดโพธิ์เพราะอยู่ติดกับวัด เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีหลักฐานเอกสารสิทธ์ ประกอบกับยักษ์วัดแจ้งไม่มีที่ดิน จึงรวบรัดจะเอาเป็นของตนเอง ด้วยการแอบลงเรือข้ามฟากไปสำรวจอย่างลับ ๆ มาแล้วหลายเที่ยว ยักษ์วัดโพธิ์ทราบเรื่องดี แต่ไม่ยอม เพราะถือว่ามากระตุกหนวดเสือถึงปากถ้ำ
ด้วยประการฉะนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงต้องรบกัน อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อยึดครองทำเลทอง อีกฝ่ายเพื่อป้องกันศักดิ์ศรี ในเนื้อเพลงไม่ได้บอกว่ารบกันกี่ร้อยเพลง ใครแพ้ใครชนะ รู้แต่เพียงว่ารบกันจนป่าทั้งป่าเตียนโล่งไปหมด ถ้าสมัยนี้รับรองว่า 2 ยักษ์ต้องโดนข้อหาบุกรุกป่าชายเลนอย่างแน่นอน
ครับ คนอย่างผม ถ้าทำอะไรให้ดูดีเหมือนคนอื่น ก็ไม่ใช่ผม
ดังนั้นการจะเดินทางไปท่าเตียน จากการเคหะร่มเกล้าก็ไม่ใช่จะยากเย็นอะไร เพียงนั่งรถตู้ไปลงบางกะปิ แล้วต่อรถประจำทางสาย 12 ไปลงปากคลองตลาดก็จบ
แต่นี่ผมออกจากร่มเกล้าไปสถานีรถไฟ แอร์พอร์ทลิ้งค์ ลาดกระบัง นั่งรถไฟแอร์พอร์ทลิ้งค์เข้าเมือง เพื่อจะได้เป็นคนรุ่นใหม่
ความจริง ที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามรถแอร์พอร์ทลิ้งค์ นั้น มีอยู่ 2 ขบวน ขบวนธรรมดาแวะทุกสถานี ค่าตั๋วประมาณ 40 บาท แต่รถแอร์พอร์ทลิ้งค์จริง ไม่แวะข้างทาง ออกจากพญาไทหรือมักกะสัน มีปลายทางที่สนามบินสุวรรณภูมิสถานีเดียว ค่าตั๋วประมาณ 90 บาท
วันนั้นผมตีตั๋วไปลงแถว ๆ เพชรบุรีหรือแถวอโศกนี่แหละ ผมจำชื่อสถานีไม่ได้ จากนั้นจึงต่อรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงสถานีสีลมหน้าโรงแรมดุสิตธานี เดินชมวิวอยู่บนถนนสีลมพักหนึ่ง แล้วแว้บเข้าไปในห้างเซ็นทรัล กะว่าจะหาอะไรกินรองท้องหน่อยแล้วค่อยเดินต่อ ก็ไม่พบอะไรน่ากิน
จึงเดินไปตามถนนสีลมเรื่อย ๆ สังเกตุดูสองฟากถนน เริ่มจะมีผู้คนเดินกันขวักไขว่หนาตามากขึ้น บางกลุ่มแต่งตัวดูดีหน้านวล น่าจะเป็นพวกที่เพิ่งออกมาจากห้องแอร์ เพื่อกลับบ้าน ส่วนอีกพวกที่ดูมอมแมมกร้านแดดหน้าเป็นมันวับ กำลังเข็นรถบรรทุกสัมภาระโต๊ะเก้าอี้ คงจะเป็นเจ้าของกิจการหรือนายห้างตัวจริง ที่สร้างสีสันให้กับถนนสีลมยามค่ำคืน
ผมเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปสักพัก ก็พบคูหาเล็ก ๆ แต่ดูสะอาด หน้าร้านมีตู้กระจกแขวนไก่เหลืองอ๋อยอยู่ครึ่งตัว มีข้อความกำกับที่ตู้กระจกว่าไก่อบสมุนไพร 40 หลังตู้มีซิ้มแก่ ๆ กับเด็กสาววัยรุ่นนั่งอยู่ น่าจะเป็นแม่กับลูกสาว มองเข้าไปข้างในเห็นคนนั่งอยู่เกือบเต็มร้าน ผมจึงผลักบานประตูก้าวเข้าไปเพิ่มจำนวนลูกค้าอีกคน สั่งข้าวไก่อบสมุนไพร 1 จานพร้อมน้ำดื่มอีก 1 ขวด
หลังจากข้าวไก่อบสมุนไพรหมดไปครึ่งจาน กำลังวังชาดีขึ้น จึงจ่ายเงินแล้วออกเดินต่อ ที่เหลืออีกครึ่งปล่อยให้เป็นหน้าที่ของร้านจัดการ เหลือบดูนาฬิกา ยังเหลือเวลาพอสำหรับจะไปให้ทัน ชมอาทิตย์ตกดินหลังเจดีย์วัดอรุณอมรินทร์ ท่าเตียน
เดี่ยวการเดินทาง 4
โดย เณร อยู่นาน....เขียน
เติมพลังด้วยข้าวไก่อบสมุนไพรเพียงครึ่งจาน สำหรับผมเป็นการเพียงพอ จากนั้นก็ออกจากร้านข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนน เห็นคนไม่หนาแน่น การเดินชมนกชมไม้น่าจะสะดวกขึ้น ไม่ต้องเกรงว่าจะชนกับใคร
การเดินเล่นบนถนนสีลมยามใกล้ค่ำ ดูแล้วมีสีสันไม่น้อย อย่างน้อยก็พอเก็บเอามาทบทวนความทรงจำเก่า ๆ สมัยที่ผมยังทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทฝรั่งแถวสาธร สมัยนั้นการเดินจากหน้าโรงแรมดุสิตธานี ไปวัดแขก แล้วเลี้ยวซ้ายออกถนนสาธรเหนือ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับผม
แต่ในยามที่อายุกำลังพุ่งเข้าหลัก 75 อีกไม่กี่เดือน ผมชักไม่แน่ใจว่าจะสามารถเดินไปถึงท่าเรือโอเรียลเต็ล ถนนเจริญกรุง เพื่อขึ้นเรือด่วนไปท่าเตียนได้หรือไม่
เวลาผ่านไปเท่าไร ผมไม่ได้ใส่ใจ ก้าวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อนคู่กายคือไม้เท้าในมือคอยทำหน้าที่พยุงไม่ให้ล้ม แกว่งไปตามจังหวะก้าวเท้า แสงตะวันที่ทาบบนยอดตึกอ่อนล้าลงไปทุกที นั่นหมายถึงความตั้งใจจะไปให้ทันอาทิตย์ตกหลังเจดีย์วัดอรุณ เริ่มเลือนรางออกไปด้วย คิดในใจว่าถ้าไม่ทันก็ค่อยหาโอกาสใหม่ แต่อย่างน้อย ให้ทันภาพเจดีย์สีทองอร่ามในตอนค่ำคืน ก็ไม่เสียแรงเปล่า
ผ่านห้างเซ็นทรัลสีลมเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นห้างบิ๊กซีหรือท้อป ไม่แน่ใจ ผมแวะเข้าไปใช้บริการห้องน้ำ ออกมา เห็นร้านขายยา จึงเข้าไปซื้อเคาว์เตอร์เพนหลอดเล็กออกมานั่งนวดข้อเท้าบนเก้าอี้ว่างหน้าร้านขายเครื่องดื่ม เป็นการพักยก
ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อมองออกไปข้างนอก เห็นแสงสุดท้ายอาทิตย์แม้จะลดความเจิดจ้าลงบ้าง จึงลุกขึ้น เดินออกมานอกอาคาร เร่งฝีเท้าต่อ สักพักหนึ่งผมก็ออกมายืนอยู่บนฟุตบาทถนนเจริญกรุง เลี้ยวขวาไปไม่ไกล เห็นโรงเรียนอัสสัมชันสูงทมึนอยู่บนฝั่งซ้ายของถนน ทำให้ความหวังฟูขึ้นมา
เดิมโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในซอยหรือที่เราเรียกกันตรอกโอเรียลเต็ล แต่ปัจจุบันกินพื้นที่มาจนจรดถนนเจริญกรุงด้านอก ผมข้ามถนนแล้วเดินเข้าซอยข้างโรงเรียน ลึกเข้าไปประมาณ 300 เมตรก็ถึงท่าเรือที่จะลงเรือข้ามไปท่าเตียน
นั่งรออยู่บนโป๊ะท่าเรือไม่นาน เรือด่วนท่าน้ำนนทบุรี – วัดราชสิงขรเข้าเทียบ ผมกระโดดขึ้นไปยืนท้ายเรือราวกับวัยรุ่น เกาะราวเหล็กยืนดูผู้โดยสารอื่นที่มีทั้งขึ้นทั้งลง ตั้งใจว่าจะยืนชมวิวถ่ายภาพอยู่ท้ายเรือน่าจะดีกว่าเข้าไปนั่งข้างใน
เรือออกจากท่าโอเรียนเต็ล แวะท่าสี่พระยา กรมเจ้าท่า ราชวงศ์ ปากคลอง และอีก 2–3 ท่าที่ผมจำไม่ได้ ใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดก็เข้าเทียบท่าเตียนอันเป็นท่าปลายทางที่ตั้งใจเอาไว้
ผมก้าวขึ้นจากเรือด้วยความโล่งอก หันมองไปทางเจดีย์ ลำแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทาบก้อนเมฆด้านหลังเจดีย์ เริ่มเป็นสีทอง ซึ่งหมายถึงว่าอีกไม่นานเกินรอจะกลายเป็นสีส้มเพื่อเป็นฉากหลังให้ตัวเจดีย์โดดเด่นขึ้น
จากโป๊ะเทียบเรือเดินไปตามสะพานไม้คร่ำคร่าที่แกว่งไปตามแรงคลื่น ทอดยาวไปสู่ฝั่ง มองขึ้นไปเห็นห้องแถวไม้เก่า ๆ ชั้นล่างมีป้ายบอกว่าเป็นร้านอาหาร แต่ไม่เห็นโต๊ะวางไว้เหมือนร้านอาหารทั่วไป ชั้นบนมีฝรั่งนั่งกันอยู่ 2-3 คน คิดในใจว่าร้านอาหารน่าจะเปิดบริการอยู่ชั้นบน เพราะเป็นตำแหน่งที่เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำกับเจดีย์
ผมเข้าไปในร้าน ถามหญิงวัยกลางคนผอมเกร็ง ที่นั่งอยู่หลังเคาวน์เตอร์ เธอบอกว่า เธอเปิดบริการอยู่ชั้นบน ผมจึงเดินลึกเข้าไปในร้าน ขึ้นบันไดไปข้างบน พลันกลิ่นอับชื้นในร้านผสมกับกลิ่นห้องน้ำ ที่น่าจะไม่ได้รับการเอาใจมาแรมปี โชยเข้าจมูกฉุนกึก
ทว่าพอถึงชั้นบนได้สัมผัสกับลมเย็นจากแม่เจ้าพระยา จึงทำให้สดชื่นขึ้นบ้าง
ในระหว่างที่รอม่านฟ้าหลังของเจดีย์เป็นสีส้ม ผมสั่งเบียร์เย็น ๆ มาเป็นรางวัลให้กับตัวเองขวดหนึ่ง ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจนถึงที่ ๆ ต้องการ และทันเวลาดี ๆ ช่วงสุดท้ายของชีวิต
หลังจากจิบเบียร์เย็นครึ่งแก้ว ผมหยิบกล้องคู่ชีวิตออกมาตั้งโปรแกรมตามต้องการ แล้วลั่นชัตเตอร์ โดยมีหน้ากล้องจับอยู่ที่เจดีย์วัดอรุณอมรินทร์ เกือบ10 ภาพ ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามสูตรของคนมือใหม่ป้องกันความผิดพลาด และเพื่อจะได้คัดเลือกภาพที่ดีที่สุด
นั่งดูอาทิตย์ลับฟ้าอยู่ที่ร้านอาหาร จนฟ้าทีทองลับหายไป มีม่านมืดสีดำเข้ามาแทน ทีละน้อยพร้อม ๆ กับที่เจดีย์เริ่มกลายเป็นสีทองอร่ามขึ้นมาจากแสงไฟรอบเจดีย์สาดส่อง
ผมตัดสินใจหามุมมองใหม่เพื่อถ่ายภาพอันงดงามไว้ดูเล่น ด้วยการลงมาจากชั้นบน แล้วเดินออกมาที่ปากซอย สอบถามคนแถวนั้นถึงอีกสถานที่หนึ่งคือ Sala Arun ทราบว่าเป็นห้องพักเล็ก ๆ ที่นำเอาห้องแถวเก่าแก่ มาดัดแปลง เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ชมแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนของคนรักธรรมชาติ
ได้รับคำแนะนำว่าอยู่ถัดไปอีกซอยหนึ่ง จึงเดินต่อ เห็นไฟสีส้มสว่างไสวอยู่ก้นซอย จึงเดินแกว่งไม่เท้าเข้าไป หน้าร้านตบแต่งดูโรแมนติคดี ผมจึงผลักประตูกระจกเข้าไป ถามเด็กหน้าตาน่าเอ็ดดูที่นั่งอยู่หลังเคาวน์เตอร์ ว่าที่นี่มีมุมถ่ายภาพสวย ๆ ไหม? เด็กบอกว่าถ้าจะถ่ายภาพให้สวย ให้เลยไปอีกซอยชื่อ Arun Resident
ผมจึงกล่าวขอบคุณ แต่เด็กก็ยังมีน้ำใจส่งรายการค่าห้องพักให้ติดมือมาชุดหนึ่ง ผมพลิกดูราคาค่าห้องพักท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ ริมทางเดิน มีชื่อห้องเรียกเพราะพริ้งน่านอน เช่น Ayudhya,Chiangsan, Krungthep,Lanna Srivichai,Sukhothai,Sala Suite ห้องพักเตียงคู่ทั้งหมด ห้องสุดท้าย 5600 นอกนั้น 3500
ที่ Arun Resident น่าจะมีห้องพักเช่นกัน แต่ผมไม่ถาม คิดเอาว่าไม่น่าจะต่างกับ Sala Arun สักเท่าไร เพราะเจ้าของคนเดียวกัน ร้านแต่งสไตล์เดียวกัน ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร คนแน่ ผมขึ้นไปชั้น 2 คนแน่นอีกเช่นกัน เลยขึ้นบันไดเวียนไปชั้นบนสุด ชื่อ The Deck เห็นทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาและเจดีย์ตอนกลางคืนเป็นสีทองอร่ามราวกับฉาบด้วยทองคำ
ชั้นนี้มีลูกค้าทั้งไทยและเทศ แต่ก็พอมีที่ว่างสำหรับผม ผมเลือกเอาที่เหมาะเพื่อจะได้จับภาพสีทองของเจดีย์ ที่ด้านหลังทาบทะมึนด้วยความมืด ด้านหน้าสีทองแพรวพราวระยิบบนผิวน้ำ นานๆ จึงจะมีเรือท่องเที่ยวบรรทุกผู้โดยสารเต็มลำแล่นช้า ๆ ผ่านมา เสริมให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผมเก็บภาพไว้มากพอสมควร นั่งปล่อยอารมณ์ชมระลอกคลื่นล้อเล่นแสงไฟอยู่นาน จนคนในร้านบางตา จึงเช็คบิลแล้วกลับออกมาเกือบจะเป็นรายสุดท้าย
คืนนั้นผมจิบไวน์ไป 2 แก้ว ในราคาเท่ากับที่ผมซื้อเอง 1 ขวด แกล้มด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เพื่อกันบ๋อยไล่ออกจากร้าน
หลังจากทุกอย่างบรรลุเป้าหมาย ผมจึงออกมานอกถนนใหญ่ คิดในใจว่ากรุงเทพยามราตรีมีมนต์เสน่ห์กว่ากลางวันอย่างเทียบกันไม่ติด หากฟ้าดินไม่ใจดำจนเกินไปโอกาสหน้าคงได้ย้อนกลับมานอนคืนละ 3500 หรือ 6500 สักครั้ง ก่อนจะสิ้นเสียงระฆังยกสุดท้ายของชีวิต
เติมพลังด้วยข้าวไก่อบสมุนไพรเพียงครึ่งจาน สำหรับผมเป็นการเพียงพอ จากนั้นก็ออกจากร้านข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนน เห็นคนไม่หนาแน่น การเดินชมนกชมไม้น่าจะสะดวกขึ้น ไม่ต้องเกรงว่าจะชนกับใคร
การเดินเล่นบนถนนสีลมยามใกล้ค่ำ ดูแล้วมีสีสันไม่น้อย อย่างน้อยก็พอเก็บเอามาทบทวนความทรงจำเก่า ๆ สมัยที่ผมยังทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทฝรั่งแถวสาธร สมัยนั้นการเดินจากหน้าโรงแรมดุสิตธานี ไปวัดแขก แล้วเลี้ยวซ้ายออกถนนสาธรเหนือ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับผม
แต่ในยามที่อายุกำลังพุ่งเข้าหลัก 75 อีกไม่กี่เดือน ผมชักไม่แน่ใจว่าจะสามารถเดินไปถึงท่าเรือโอเรียลเต็ล ถนนเจริญกรุง เพื่อขึ้นเรือด่วนไปท่าเตียนได้หรือไม่
เวลาผ่านไปเท่าไร ผมไม่ได้ใส่ใจ ก้าวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อนคู่กายคือไม้เท้าในมือคอยทำหน้าที่พยุงไม่ให้ล้ม แกว่งไปตามจังหวะก้าวเท้า แสงตะวันที่ทาบบนยอดตึกอ่อนล้าลงไปทุกที นั่นหมายถึงความตั้งใจจะไปให้ทันอาทิตย์ตกหลังเจดีย์วัดอรุณ เริ่มเลือนรางออกไปด้วย คิดในใจว่าถ้าไม่ทันก็ค่อยหาโอกาสใหม่ แต่อย่างน้อย ให้ทันภาพเจดีย์สีทองอร่ามในตอนค่ำคืน ก็ไม่เสียแรงเปล่า
ผ่านห้างเซ็นทรัลสีลมเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นห้างบิ๊กซีหรือท้อป ไม่แน่ใจ ผมแวะเข้าไปใช้บริการห้องน้ำ ออกมา เห็นร้านขายยา จึงเข้าไปซื้อเคาว์เตอร์เพนหลอดเล็กออกมานั่งนวดข้อเท้าบนเก้าอี้ว่างหน้าร้านขายเครื่องดื่ม เป็นการพักยก
ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อมองออกไปข้างนอก เห็นแสงสุดท้ายอาทิตย์แม้จะลดความเจิดจ้าลงบ้าง จึงลุกขึ้น เดินออกมานอกอาคาร เร่งฝีเท้าต่อ สักพักหนึ่งผมก็ออกมายืนอยู่บนฟุตบาทถนนเจริญกรุง เลี้ยวขวาไปไม่ไกล เห็นโรงเรียนอัสสัมชันสูงทมึนอยู่บนฝั่งซ้ายของถนน ทำให้ความหวังฟูขึ้นมา
เดิมโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในซอยหรือที่เราเรียกกันตรอกโอเรียลเต็ล แต่ปัจจุบันกินพื้นที่มาจนจรดถนนเจริญกรุงด้านอก ผมข้ามถนนแล้วเดินเข้าซอยข้างโรงเรียน ลึกเข้าไปประมาณ 300 เมตรก็ถึงท่าเรือที่จะลงเรือข้ามไปท่าเตียน
นั่งรออยู่บนโป๊ะท่าเรือไม่นาน เรือด่วนท่าน้ำนนทบุรี – วัดราชสิงขรเข้าเทียบ ผมกระโดดขึ้นไปยืนท้ายเรือราวกับวัยรุ่น เกาะราวเหล็กยืนดูผู้โดยสารอื่นที่มีทั้งขึ้นทั้งลง ตั้งใจว่าจะยืนชมวิวถ่ายภาพอยู่ท้ายเรือน่าจะดีกว่าเข้าไปนั่งข้างใน
เรือออกจากท่าโอเรียนเต็ล แวะท่าสี่พระยา กรมเจ้าท่า ราชวงศ์ ปากคลอง และอีก 2–3 ท่าที่ผมจำไม่ได้ ใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดก็เข้าเทียบท่าเตียนอันเป็นท่าปลายทางที่ตั้งใจเอาไว้
ผมก้าวขึ้นจากเรือด้วยความโล่งอก หันมองไปทางเจดีย์ ลำแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทาบก้อนเมฆด้านหลังเจดีย์ เริ่มเป็นสีทอง ซึ่งหมายถึงว่าอีกไม่นานเกินรอจะกลายเป็นสีส้มเพื่อเป็นฉากหลังให้ตัวเจดีย์โดดเด่นขึ้น
จากโป๊ะเทียบเรือเดินไปตามสะพานไม้คร่ำคร่าที่แกว่งไปตามแรงคลื่น ทอดยาวไปสู่ฝั่ง มองขึ้นไปเห็นห้องแถวไม้เก่า ๆ ชั้นล่างมีป้ายบอกว่าเป็นร้านอาหาร แต่ไม่เห็นโต๊ะวางไว้เหมือนร้านอาหารทั่วไป ชั้นบนมีฝรั่งนั่งกันอยู่ 2-3 คน คิดในใจว่าร้านอาหารน่าจะเปิดบริการอยู่ชั้นบน เพราะเป็นตำแหน่งที่เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำกับเจดีย์
ผมเข้าไปในร้าน ถามหญิงวัยกลางคนผอมเกร็ง ที่นั่งอยู่หลังเคาวน์เตอร์ เธอบอกว่า เธอเปิดบริการอยู่ชั้นบน ผมจึงเดินลึกเข้าไปในร้าน ขึ้นบันไดไปข้างบน พลันกลิ่นอับชื้นในร้านผสมกับกลิ่นห้องน้ำ ที่น่าจะไม่ได้รับการเอาใจมาแรมปี โชยเข้าจมูกฉุนกึก
ทว่าพอถึงชั้นบนได้สัมผัสกับลมเย็นจากแม่เจ้าพระยา จึงทำให้สดชื่นขึ้นบ้าง
ในระหว่างที่รอม่านฟ้าหลังของเจดีย์เป็นสีส้ม ผมสั่งเบียร์เย็น ๆ มาเป็นรางวัลให้กับตัวเองขวดหนึ่ง ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจนถึงที่ ๆ ต้องการ และทันเวลาดี ๆ ช่วงสุดท้ายของชีวิต
หลังจากจิบเบียร์เย็นครึ่งแก้ว ผมหยิบกล้องคู่ชีวิตออกมาตั้งโปรแกรมตามต้องการ แล้วลั่นชัตเตอร์ โดยมีหน้ากล้องจับอยู่ที่เจดีย์วัดอรุณอมรินทร์ เกือบ10 ภาพ ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามสูตรของคนมือใหม่ป้องกันความผิดพลาด และเพื่อจะได้คัดเลือกภาพที่ดีที่สุด
นั่งดูอาทิตย์ลับฟ้าอยู่ที่ร้านอาหาร จนฟ้าทีทองลับหายไป มีม่านมืดสีดำเข้ามาแทน ทีละน้อยพร้อม ๆ กับที่เจดีย์เริ่มกลายเป็นสีทองอร่ามขึ้นมาจากแสงไฟรอบเจดีย์สาดส่อง
ผมตัดสินใจหามุมมองใหม่เพื่อถ่ายภาพอันงดงามไว้ดูเล่น ด้วยการลงมาจากชั้นบน แล้วเดินออกมาที่ปากซอย สอบถามคนแถวนั้นถึงอีกสถานที่หนึ่งคือ Sala Arun ทราบว่าเป็นห้องพักเล็ก ๆ ที่นำเอาห้องแถวเก่าแก่ มาดัดแปลง เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ชมแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนของคนรักธรรมชาติ
ได้รับคำแนะนำว่าอยู่ถัดไปอีกซอยหนึ่ง จึงเดินต่อ เห็นไฟสีส้มสว่างไสวอยู่ก้นซอย จึงเดินแกว่งไม่เท้าเข้าไป หน้าร้านตบแต่งดูโรแมนติคดี ผมจึงผลักประตูกระจกเข้าไป ถามเด็กหน้าตาน่าเอ็ดดูที่นั่งอยู่หลังเคาวน์เตอร์ ว่าที่นี่มีมุมถ่ายภาพสวย ๆ ไหม? เด็กบอกว่าถ้าจะถ่ายภาพให้สวย ให้เลยไปอีกซอยชื่อ Arun Resident
ผมจึงกล่าวขอบคุณ แต่เด็กก็ยังมีน้ำใจส่งรายการค่าห้องพักให้ติดมือมาชุดหนึ่ง ผมพลิกดูราคาค่าห้องพักท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ ริมทางเดิน มีชื่อห้องเรียกเพราะพริ้งน่านอน เช่น Ayudhya,Chiangsan, Krungthep,Lanna Srivichai,Sukhothai,Sala Suite ห้องพักเตียงคู่ทั้งหมด ห้องสุดท้าย 5600 นอกนั้น 3500
ที่ Arun Resident น่าจะมีห้องพักเช่นกัน แต่ผมไม่ถาม คิดเอาว่าไม่น่าจะต่างกับ Sala Arun สักเท่าไร เพราะเจ้าของคนเดียวกัน ร้านแต่งสไตล์เดียวกัน ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร คนแน่ ผมขึ้นไปชั้น 2 คนแน่นอีกเช่นกัน เลยขึ้นบันไดเวียนไปชั้นบนสุด ชื่อ The Deck เห็นทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาและเจดีย์ตอนกลางคืนเป็นสีทองอร่ามราวกับฉาบด้วยทองคำ
ชั้นนี้มีลูกค้าทั้งไทยและเทศ แต่ก็พอมีที่ว่างสำหรับผม ผมเลือกเอาที่เหมาะเพื่อจะได้จับภาพสีทองของเจดีย์ ที่ด้านหลังทาบทะมึนด้วยความมืด ด้านหน้าสีทองแพรวพราวระยิบบนผิวน้ำ นานๆ จึงจะมีเรือท่องเที่ยวบรรทุกผู้โดยสารเต็มลำแล่นช้า ๆ ผ่านมา เสริมให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผมเก็บภาพไว้มากพอสมควร นั่งปล่อยอารมณ์ชมระลอกคลื่นล้อเล่นแสงไฟอยู่นาน จนคนในร้านบางตา จึงเช็คบิลแล้วกลับออกมาเกือบจะเป็นรายสุดท้าย
คืนนั้นผมจิบไวน์ไป 2 แก้ว ในราคาเท่ากับที่ผมซื้อเอง 1 ขวด แกล้มด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เพื่อกันบ๋อยไล่ออกจากร้าน
หลังจากทุกอย่างบรรลุเป้าหมาย ผมจึงออกมานอกถนนใหญ่ คิดในใจว่ากรุงเทพยามราตรีมีมนต์เสน่ห์กว่ากลางวันอย่างเทียบกันไม่ติด หากฟ้าดินไม่ใจดำจนเกินไปโอกาสหน้าคงได้ย้อนกลับมานอนคืนละ 3500 หรือ 6500 สักครั้ง ก่อนจะสิ้นเสียงระฆังยกสุดท้ายของชีวิต
หมายเหตุ: เพื่อเก็บรักษาและเผยแพร่บทความ ที่อาจารย์ได้เคยเขียนไว้ เนื่องจาก เวลานี้ Website: www.10luckastro.com ของอาจารย์ได้หายไปแล้ว ศิษย์รุ่นหลังๆ จะได้มีตัวอย่างดวงไว้ศึกษาหาความรู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น